วันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

พระอุปคุตมหาเถระเจ้า

 
      พระอุปคุตมหาเถระเจ้า

 เรื่องของพระมหาอุปคุตเถระอรหันต์  ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์  และพญามารวัสวดีราชาธิราช  เป็นผู้ไม่เลื่อมใสความดี  คอยรังควานการทำบุญกุศลของมนุษย์  ได้มีการเวียนว่าย  ตายเกิดมาหลายภพหลายชาติ  กาลครั้งนั้น พระหาอุปคุต    ถือกำเนิดเป็นชายที่ศรัทธา ต่อบวรพุทธศาสนา  ถึงกับได้บรรพชาเป็นสามเณร ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก  พอเติบใหญ่ถึงบั้นปลายในชีวิต  จึงได้เป็น  สมภารเจ้าอาวาสปกครองดูแล  ภิกษุสามเณร และลูกวัด มากมายหลายรูป หลายคน พญามารวัสวดีก็เกิดเป็นชายเหมือนกัน พอโตสมควรบรรพชาเป็นสามเณร ณ พระอารามที่พระมหาอุปคุตได้เป็นเจ้าอาวาสอยู่
                     
       ท่านสมภารได้ปกครองดูแล วัดวาอารามด้วยความเรียบร้อยพยายามอบรมสั่งสอน ให้ทุกคนหมั่นทำความดี และมอบหมาย หน้าที่การงานให้แต่ละคน ที่อยู่ในวัดดูแลรับผิดชอบ อย่างทั่วถึงกัน สำหรับสามเณรวัสวดีมีหน้าที่ดูแลทำความ สะอาดบริเวณ
       รอบๆองค์พระเจดีย์ที่บรรจุพระเกศาธาตุ   ทุกอย่างดำเนิน  ไปด้วยความเรียบร้อย  อยู่มาวันหนึ่ง  ท่านสมภารอุปคุต  ได้เดินออกไป ตรวจรอบๆ  บริเวณวัด  เมื่อมาถึงองค์พระเจดีย์  ก็พบว่ายังมีมูลสุนัขถ่ายทิ้งไว้อยู่กองหนึ่ง  จึงสั่งให้ศิษย์ตามสามเณรวัสวดีมาสอบถาม พอสามเณรวัสวดีมาถึง 
สมภารอุปคุตได้สอบถามว่า  ฉันสั่งให้คอยดูแลความสะอาดเรียบร้อย  ทำไมถึงละเลยไม่ปฏิบัติตาม  
       สามเณรน้อยตอบว่า  ผมได้ดูแลเก็บกวาดเรียบร้อย  แลสุนัขได้มาถ่ายทิ้งไว้ในภายหลัง  พอสมภาร ฟังเณรน้อยเถียงแก้ตัว  จึงใช้ด้ามไม้กวาดตีศีรษะ  และกล่าวขึ้นว่า  เจ้ามันก็ดีแต่แก้ตัว  พร้อมกับสั่งให้สามเณรไปเก็บกวาดให้เรียบร้อย   สามเณรวัสวดีน้อยใจ  และช่ำใจที่อุตส่าห์ทำอย่างดี   แล้วยังถูกด่ากับถูกทำโทษอีก
       ขณะที่ทำความสะอาดไป  ก็ร่ำไห้ไปด้วยความคับแค้นใจ  จึงพูดเปรยๆออกมาว่า  ดีละถ้าท่านสมภาร  ถือว่าตนมีอำนาจข่มเหง ได้ก็ข่มเหงไป ถ้าหากข้าพเจ้าเกิดในชาติต่อๆ  ไปก็ขอให้เป็นผู้มีฤทธิ์และมีอำนาจ จนใคร่ๆ  สู้ไม่ได้ก็แล้วกัน 
       พอสามเณรกล่าวจบ  ก็ก้มกราบลงที่ฐานพระเจดีย์  โดยประกาศว่า เพื่อขอให้คำอธิษฐานเป็นความจริง  ข้าพเจ้าจะสร้าง  บอกไพขึ้นไว้จุดถวายเป็นพุทธบูชา   หลังจากนั้นสามเณรก็เริ่ม รวบรวมจัดหาถ่านกำมะถัน  ดินประสิว  กระบอกไม้ไผ่  รวมทั้งอุปกรณ์ต่างๆ   ฝ่ายศิษย์อื่นๆ 
        ที่ได้ยินสามเณรอธิฐาน  คำอาฆาต ได้จัดทำ  บอกไฟจุดเป็นพุทธบูชา  จึงนำความเรื่องนี้ไปแจ้งให้สมภารทราบ  พอสมภารทราบ ความจากคำบอกเล่า  ก็เฝ้าแต่ครุ่นคิดว่าตนจะแก้ไขอย่างไร  ในที่สุดก็คิดได้ว่า  บอกไฟที่ขึ้นสู่ฟ้า  ได้นั้นจำเป็นต้องใช้หวายคาดผูกให้แน่น  ท่านจึงสั่งให้ศิษย์ออกกว้านเก็บหวายที่มีอยู่ในละแวกนั้นจนหมดสิ้น
      เมื่อสามเณรออกไปหา   ปรากฏว่าหวายต่างๆ ที่มีอยู่ถูกสมภารเก็บเอาไปจนหมด   ทำให้ตนไม่สามารถหาหวายมามัดบอกไฟของตนได้   ถ้าขาดหวาย  บอกไฟก็ยิงไม่ขึ้น ความตั้งใจของตนคงต้อง   ล้มเหลว
     สามเณร จำใจต้องเข้าไปสารภาพผิดของตน   พร้อมกับขอหวายจาก   สมภารอาจารย์ของตน  ท่านสมภารตกลงจะให้หวายตามที่ต้องการแต่ขอให้รอสักประเดี๋ยวหนึ่ง   โดยขอให้สามเณรวัสวดี  ไปคอยอยู่ข้างนอก  พอสามเณรผู้เป็นศิษย์ เดินออกไป   ท่านสมภารก็จับหวายที่จะมอบให้   ยกขึ้นเหนือศีรษะ  พร้อมกับอธิฐานว่า           
      ดัวยสัจจะอธิฐาน  ที่ข้าพเจ้ากล่าวนี้ขออำนาจแห่งคุณพระเกศาธาตุเจ้า  จงดลบันดาลให้ ข้าพเจ้ามีอำนาจและฤทธิ์เดช  ยิ่ง กว่าสามเณร เปรียบประ ดุจหวายที่ผูกมัด  บอกไฟนี้ฉันใด  ที่บอกไฟจะมี
อำนาจฤทธิ์เดชขึ้นสูงเพียงใด   ขอให้อยู่ใต้อำนาจของหวายที่ผูกมัด บอกไฟไว้ฉันนั้น   พออธิฐานเสร็จ                                                                   
      ท่านสมภาร ก็อาหวายมาให้สามเณร  และบอกว่าถ้าต้องการ  เท่าไร  ก็เชิญเอาไปตามความ   ต้องการ  สาเณรก็นำหวาย   เหล่านั้นไปคาด และผูกมัดบอกไฟของตน  พอเสร็จสามเณรก็ จุดบอกไฟเป็นพุทธบูชา ดัวยอำนาจฤทธิ์ของบอกไฟ  ที่พุ่งสู้ท้องฟ้าในชาติต่อมา  จึงส่งผลให้สามเณรองค์นั้น  กลับมาเกิดเป็น  พญามาร   ผู้กระทำตนคอยเกะกะระราน  ผู้กระทำบุญกุศลทั้งหลาย    พระอุปคุตมหาเถระ  
                                             พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้                                                                                                                       
       เจ้าชายสิทธัตถะ เบื่อหน่ายในกามสุขจึงได้เสด็จ ออก ผนวช  แสวงหาทางหลุดพ้นจากกิเลส   โดยประทับอยู่ใต้ต้นไม้ศรีมหาโพธิ์   ที่ริมฝั่งน้ำเนรัญชรา และ ตั้งพระทัยมั่นว่า  หากไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้วจะไม่ลุกขึ้น  แม้ว่าเนื้อและเลือดในพระสรีระจะเหือดแห้งไปจนหมดสิ้น  คงเหลือแต่หนังหมุ้กระดูกก็ตามทำให้   บรรดาทวยเทพต่าง  ได้พากันมาห้อมล้อมพระหาบุรุษอยู่
       ฝ่ายพญามารได้  ไปจุติเป็นเทพชั้น  ปรนิมวัสวดี   แต่เป็นเทพผิดปกติคือ  ไม่ต้องการให้มนุษย์สร้างความดี   เมื่อเห็น   เจ้าชายสิทธัตถะ จะทรงตรัสรู้  ก็ทนไม่ได้  คิดว่าถ้าไม่ทำลายความ ตั้งใจของ   พระมหาบุรุษในครั้งนี้   ต่อไปก็จะพ้นจากอำนาจของตน    จึงได้รวบรวมเสนามาร และไพลพลทั้งหมด  ยกทัพมาหมายจะปราบ



   
  พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระผู้เมตตาต่อมหาชลเป็นอันมาก
โดยเนรมิตรูปกายให้น่าเกลียดน่ากลัวต่างๆ  นานา
พญามารนั้น  เนรมิตแขนซ้ายขวาข้างละห้าร้อย  ถืออาวุธต่างๆครบมือ    ทรงช้างครีเมขล์สูง ๒๒๐โยชน์   นำเหล่ามาร  มาทางทิศเหนือโห่ร้องกึกก้องเข้ามา   หวังจะฟาดฟันพระองค์ให้ได้       
        บรรดาเทพยดา  ในหมื่นจักวาล  ซึ่งมาห้อมล้อมปฏิบัติรักษาพระพุทธองค์โดยรอบ   พอได้ยินเสียง โห่ร้องสนั่นหวั่นไหว เข้าดังนั้น    ต่างสดุ้งตกใจกลัว  และพากันแยกย้ายหลบหนีไป   ฝ่าย  
        พระหาบุรุษ  ครั้นต้องถูกทอดทิ้งอยู่ตามลำพัง   หาผู้ใดเป็นที่พึ่งมิได้  จึงทรงรำลึกบารมี ๓๐ ทัศ โดยแบ่งออกเป็นทานบารมี ๑๐ ประการ คือ สละ ทรัพย์ภายนอก เช่น ศีล เนกขัม ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิฐานเมตตา และอุเบกขา   รองลงเป็น  อุปบารมี คือ สละอวัยวะ  เป็นทานสุดท้ายเป็น ปรมัตถ์บารมี  คือ  สละชีวิตเป็นทาน  อันเป็นทานสูงสุด  ซึ่งพระองค์ได้ทรงบำเพ็ญมาในอเนกชาติ    จึงมิได้ทรงหวาดกลัว  อานุภาพของพญามาร และ เสนามารเลย   แม้พวกเสนามารได้รับคำสั่งจากพญามาร ก็ไม่อาจเข้าไป 
      ทำอันตรายใดๆ   พระมหาบุรุษใกล้ๆได้   พระมหาบุรุษก็ยังคงประทับนั่ง   อยู่ที่เดิมโดยมิหวั่นไหว  พญามารเห็นบรรดาเสนามารมิอาจทำอันตราย  แก่พระมหาบุรุษได้   ก็โกรธคิดว่า  เราจะต้องใช้อาวุธ ๙ ประการ    
       ทำพระมหาบุรุษให้กลัว  แล้วหลบหนีไป  พอคิดได้ดังนั้นก็บันดาลให้เกิดพายุใหญ่  พัดมาแต่ทิศตะวันออก  มีกำลังแรงขนาดทำลายภูเขาสูงใหญ่ถึง ๑-๒โยชน์  ได้ดัวย ฤทธิของตน แต่พอลมนั้นพัดมาก็ไม่อาจทำให้ชายจีวรของ   พระมหาบุรุษให้ไหวได้  พอเห็นดั้งนั้นพญามารก็บันดาลให้มหาเมฆทำห่าฝน  ให้ตกลงมาน้ำฝนไหลนองไปทั่ว 
     แต่ก็ไม่อาจทำให้จีวรของ  พระมหาบุรุษ เปียกน้ำฝนแม้เพียงหยดเดียวต่อมาพญามารได้บันดาลให้ห่า  ศิลาตกลงมาทำลายยอดเขาน้อยใหญ่  จนบังเกิดเป็นเปลวไฟมีควันตลบขึ้นไปในอากาศ  แต่พอถึงพระมหาบุรุษ  ก็กลับกลายเป็นดอกไม้ทิพย์บูชาพระองค์ 
     ทำให้พญามารบันดาลห่าฝนอาวุธ วิเศษนานาชนิดตกลงมา และกลายเป็นเปลวไฟ  แต่เมื่อจะมาถึงพระวรกายของพระมหาบุรุษ ก็กลายเป็นดอก  ไม้ทิพย์บูชา พระมหาบุรุษ อีกพญามารเห็นดังนั้น ก็บันดาลให้ฝนถ่านเพลิงตกลงมา  ฝนถ่านเพลิงนั้นมีแดงร้อนราวกับไฟนรก  ปราศจากเปลวและควัน  แต่แล้วฝนถ่านเพลิงก็กลับกลายเป็น
     ทิพย์มาลาตกลงประดับบูชา  พระมหาบุรุษลำดับนั้นจึงบันดาลให้ฝนเถ้าร้อน อันร้อนแรงตกลงมา  แต่เถ้าร้อนนั้นกลายเป็นละอองทิพย์  ตกเรียงรายบูชาพระมหาบุรุษอีก
พญามารมองเห็นเช่นนั้น   จึงบันดาลให้ฝนทรายกรดอันละเอียดเป็นควันเป็นเปลวตกลงมาจากอากาศ  แต่ฝนทราย กรดนั้นก็กลับเป็นดอกไม้ และแก้วมณีตกลงทั่วบริเวณรอบ  พระศรีมหาโพธิ์ เมื่อพญามารทำอันใดต่อ พระมหาบุรุษ มิได้ก็ยอมแพ้ไปในที่สุด
     กล่าวกันว่า ก่อนเสด็จดับขันธ์ปรินิพาน พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เทศนาโปรด   นาคชื่ออปลาละ ช่างปั้นหม้อ  หญิงจัณฑาล และนางโคบาล  แล้วเสด็จสู่เมือง มถุรา ณที่นั้นได้มีพระดำรัสกับ พระอานนท์ว่า  ดูก่อนอานนท์  ณนครมถุรานี้อีกร้อยปีแต่ตถาคตนิพพานแล้ว  จะมีพ่อค้าขายน้ำหอม ชื่อคุปตะเขาจะมีบุตร  ชื่ออุปคุตซึ่งได้เป็นอนุพุทธ  ที่ปราสจากมหาปุริสลักษณะ  ท่านผู้นี้จะทำงานของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อไป     
       เทศนาของท่านจะช่วยให้ พระภิกษุเป็นอันมากเอาชนะกิเลสได้  จนเข้าถึงพระอรหัตผล พระอรหันต์  จะมีมากจนประมาณเต็มถ้ำ  อานนท์นอกจากนี้แล้ว พระอุปคุตรูปนี้  จะเป็นเอตทัคคะ ในบรรดาธรรมกถึก ทั้งหลายของเรา  ดูก่อนอานนท์   เธอแลเห็นเส้นทางยาวสุดสายตาโน้นไหม  ข้าพระองค์เห็นอยู่  พระพุทธเจ้าข้า นั้นแลอานนท์ คือภูเขาชื่ออุรุมมุณฑะ อีกร้อยปีแต่  ตถาคตนิพพานแล้ว
      พระภิกษุรูปหนึ่งชื่อ ศาณกวาสิน จะสร้างวัดขึ้นที่นั่น  แล้วจะให้  อุปสมบทแก่อุปคุต   อานนท์ นอกไปจากนี้แล้วที่นคร มถุรา  นี้จะมีนายช่าง คนเป็นพี่น้องกัน ชื่อ นาฎะ กับ ภฎะ  ซึ่งจะได้สร้างวัด บนภูเขาอุรุมมุณฑะ  วัดนี้จะชื่อว่า  นฎภฎิกะ จะเป็นอรัญญิกาวาสที่วิเศษสุดทั้งเตียงและตั้ง จะเหมาะสำหรับผู้เจริญวิปัสสนาธุระ
     ลำดับนั้นพระอานนท์เถระเจ้า ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าข้าแต่ พระองค์ผู้เจริญนับว่าวิเศษแท้ที่พระอุปคุตจะได้ทำสิ่งต่างๆให้เป็นคุณประโยชน์แก่มหาชน พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบว่า ดูก่อนอานนท์ไม่แต่เวลานั้นเท่านั้น
      แม้ในอดีตชาติ  ซึ่งบัดนี้หาร่างกายอันมิได้อีกแล้ว อุปคุตก็ได้ทำการที่นี้ เพื่อประโยชน์ของมหาชน  ในอดีตนั้นบนไหล่เขาทั้ง  ๓ ของภูเขาอุรุมมุณฑะ พระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๐ พระองค์อยู่  ณไหล่เขาแห่งหนึ่ง ฤาษี ๕๐๐ ตน อยู่ณ ไหล่เขาอีก  แห่งหนึ่ง วานร ๕๐๐ ตัวอยู่บนไหล่เขา ที่สามวันพญาวานร และบริวารทั้ง ๕๐๐ไปยังไหล่เขาที่          
       พระปัจเจกพุทธเจ้า  อาศัยอยู่เมื่อเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า  เหล่านั้นพญาวานร ได้บังเกิดศัทธาปสาทะนำใบไม้ที่ตกหล่นรวมทั้งรากไม้และผลไม้  ไปถวายเมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นเจริญสมาธิ  ภาวนา  พญาวานรได้กราบลงยังพระองค์สูงสุด แล้วไปทางซ้ายของพระองค์ ที่อ่อนอาวุโสตามลำดับ  พญาวานรได้นั่งสมาธิด้วยบ้างเหมือนกัน
      ไม่นานหลังจากนั้น  พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งสิ้นก็ได้เสด็จ  เข้าสู่มหาปรินิพพาน  พญาวานรยังเอาใบไม้ที่ตกลงแล้ว  รวมทั้งรากไม้และผลไปถวายพระคุณท่านอีก  แต่เมื่อท่านไม่รับประเคนพญาวานรจึงไปจับจีวร  แล้วจับเบื้องพระบาท  จึงรู้ว่าพระผู้เป็นเจ้าเหล่านั้น นิพพานเสียแล้ว
       พญาวานรเศร้าโศกเสียใจ  ร้องให้แล้วไปยังไหล่เขาอีกแห่งหนึ่งซึ่งฤาษีทั้ง ๕๐๐ พำนักอยู่  ฤาษีเหล่านั้นบางตนเอาหนามติดรอบกาย  บางตนมีเตียงเป็นขี้เถ้า บางตนยื่นมือชี้ฟ้า หรือไม่ก็ทรมานตนด้วยวิธีต่างๆโดยมีกองกูณฑ์ ๕ ล้อมรอบ (คือกองไฟทั้ง ๔ ทิศรอบตน และให้พระอาทิตย์แผดเผาอยู่เหนือศรีษะอีก ๑ )
    เมื่อพญาวานรทำลายตบะวิธีของ ฤาษีเหล่านั้นแล้วได้นั่งสมาธิต่อหน้าฤาษีเหล่านั้นฤาษีรายงานการกระทำของวานร  ให้อาจารย์ของพวกตนทราบอาจารย์จึงแนะให้บรรดาฤาษี  นั่งสมาธิบ้างฤาษีทั้ง ๕๐๐ ตน  จึงนั่งสมาธิ ด้วยบุญบารมีที่ได้บำเพ็ญมา ฤาษีเหล่านั้นก็เข้าใจ โพธิปักขิยธรรมทั้ง ๓๗ ประการ อันเป็นทาง
      นำไปสู่การ  ตรัสรู้  แล้วได้  ตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า  ต่อมาท่านเหล่านั้นดำริว่า เราได้บรรลุถึงพระบรมธรรมอันวิเศษสุด   เพราะอาศัยวานรตัวนี้นี่แล  บรรดาพระคุณเจ้า   เหล่านั้นจึงปรนนิบัติพญาวานร  ด้วยรากไม้และผลไม้ และเมื่อพญาวานรถึงกาลกิริยา  พระคุณเจ้าเหล่านั้นก็ปลงศพให้โดยใช้ไม้หอมมาประชุมเพลิง
       ดูก่อน  อานนท์  เธอรู้หรือไม่ว่าพญาวานรตนนี้แลคือ  อุปคุตแม้ในอดีตชาติ  อันรูปกายแตกทำรายขันธ์ไปแล้ว  ก็ได้ทำคุณให้แก่มหาชน  บนยอดเขา อุรุมมุฑะนี้ ในชาติต่อไปร้อยปีแต่   ตถาคตปรินิพพานล่วงไปแล้ว    อุปคุตก็จะมาทำการ  เพื่อประโยชน์แก่ มหาชนอีก    ที่แห่งเดิมนี้เอง
        เมื่อพระศาณกวาสินเถระ ให้สร้างวัดบนภูเขาอุรุมมุณฑะนั้น พระคุณเจ้ากำหนดจิตทราบว่าพ่อค้าน้ำหอม ที่ชื่อคุปตะได้ถือกำเนิดแล้วพระคุณเจ้าจึงกำหนดจิตต่อไปว่า บุตรของเขาที่ชื่อ อุปคุต ถือกำเนิดหรือยัง  เพราะมีพุทธพยากรณ์ว่า  เขาผู้นี้จักได้เป็นอนุพุทธ เพื่อประกอบกรณียกิจของ     
        พระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ร้อยปีแต่พุทธปรินิพ พาน  ล่วงแล้ว  และก็ปรากฏแก่ญาณว่าเขายังไม่มาเกิดด้วยกุศโลบาย  ในไม่ช้า  คุปตะพ่อค้าน้ำหอมก็มีความเลื่อมใส  ในพระธรรมคำสั่งสอนของ พระผู้มีพระ ภาคเจ้า วันหนึ่งพระศาณกวาสิน  ได้เข้าไปสู่คฤหาสน์ของเขา  พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่   แล้วอีกวันหนึ่งพระเถระเจ้าได้ไปกับ  ภิกษุ
     อีกรูปหนึ่ง  ครั้นวันที่สามพระคุณเจ้าได้ไปรูปเดียวเท่านั้น   เมื่ออุปตะ เห็นพระศาณกวาสินเถระมาแต่เพียงลำพัง  จึงถามขึ้นว่า เหตุไฉนพระผู้เป็นเจ้าจึงปราศจากปัจฉาสมถะ(ผู้คอยรับใช้)   พระเถระเจ้าตอบว่า  อาตมาผู้ซึ่งชราภาพครอบงำแล้ว  จำต้องมีผู้ติดตามด้วยหรือก็ถ้า 
     ใครคนใดคนหนึ่ง  ถึงพร้อมด้วยความเลื่อมใส และได้เข้ามาสู่เพศพรหมจรรย์  เขาผู้นั้นแลจึงควรเป็น ผู้อุปัฎฐาก  และติดตามอาตมา  พ่อค้าน้ำหอมตอบว่าข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าเป็นผู้ชอบอยู่ด้วยชีวิตของคฤหัสถ์  และยินดีในกามคุณทั้งห้า ไม่สมควรที่คนอย่างข้าพเจ้า จะออกบวช  เพื่อมีชีวิตอย่างสมถะแต่เมื่อใดข้าพเจ้ามีบุตร ข้าพเจ้าจะถวายให้เป็น อุปัฎฐากของพระคุณเจ้า  พระเถระเจ้าจึงกล่าวว่า ดีแล้วอุบาสกท่านต้องจำคำกล่าวนี้ไว้ให้มั่น ต่อมาคุปตะพ่อค้าน้ำหอมได้บุตร ซึ่งได้ชื่อว่าอัศวคุปต์ พอเด็กคนนี้โตขึ้น  ท่านพระศาณกวาสินได้ไปหา อุปตะแล้วกล่าวว่า  อุบาสกเคยสัญญาว่ามีบุตรแล้วจะอนุญาต  ให้เขาบวชอาตมาจะได้พาเขาไป   ให้ดำรงเพศพรหมจรรย์   พ่อค้าน้ำหอมตอบว่า  ข้า 
     แต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ  ข้าพเจ้ามีบุตรเป็นชายคนเดียว  ขอพระคุณเจ้า จงงดคนนี้ไว้ก่อน  เถิดหากข้าพเจ้ามีบุตรอีก  จะถวายคนที่สองให้เป็นศิษย์อีก คอยติดต่อมาพระคุณเจ้า
ลำดับนั้น  พระศาณกวาสินจึงกำหนดจิต  เพ่งดูว่าเด็กคนนี้คืออุปคุตหรือมิใช้   ครั้นทราบว่า
     ไม่ใช่พระคุณเจ้าจึงกล่าวว่า  ก็ได้ขอให้เป็นไปตามนั้น
ต่อจากนั้นมา  อีกไม่นาน คุปตะพ่อค้าน้ำหอม  ก็ได้บุตรอีกตั้งชื่อว่า ธนคุปต์พอเด็กคนนี้โตขึ้น  พระศาณกวาสินเถระเจ้า  ก็ได้ไปหาคุปตะอีก  พลางกล่าวว่า อุบาสก ท่านสัญญาว่าถ้าท่านมีบุตรเป็นชายอีก จะถวายคนที่สอง ให้เป็นศิษย์ คอยติดตามรับใช้  บัดนี้ท่านมีบุตรอีกแล้ว  จงยอมให้เขาบวชเพื่ออาตมา  จะได้ให้เขาดำรงสมณะเพศ  ภายในพระอาราม พ่อค้าน้ำหอมตอบว่า  ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ขอเว้นคนนี้ด้วยเถิด  คนโตต้องไปหาซื้อของจากเมืองไกล  คนที่สองต้องให้คอยเฝ้าเหย้าเรือน  ถึงอย่างไรข้าพเจ้า  ก็จะต้องมีบุตรชายเป็นคนที่สาม  แล้วจะถวายลูกคนนั้นแก่พระผู้เป็นเจ้าแน่
       พระศสณกวาสินกำหนดจิต  เพ่งดูว่าเด็กคนนี้ใช่อุปคุต หรือไม่ครั้นทราบว่าไม่ใช่จึงว่า  เป็นอันตกลงตามที่ท่านว่าในที่สุด คุปตะ  พ่อค้าน้ำหอมได้บุตรเป็นคนที่สาม  เป็นเด็กชายหน้ารักงดงามก่อ    ให้เกิดความยินดีแก่ผู้พบ เห็น  มีรูปลักษณ์ดีกว่า
    ใครๆมีเรือนร่างดังเทพเจ้า  เมื่อถึงกำหนดทำขวัญ ได้ตั้งชื่อว่า  อุปคุต  (ภาษาสันกฤษเขียนว่า อุปคุปต์ แปลว่า ผู้คุ้มครองรักษา) 
     เมื่อเขาเจริญวัยขึ้น  ท่านพระศาณกวาสิน  ได้ไปยังบ้านของอุปตะพ่อค้าน้ำหอมอีก  แล้วกล่าวว่า  อุบาสก  ท่านสัญญาว่า  เมื่อมีบุตรชายคนที่สาม  จะถวายให้เป็นศิษย์   คอยติดตามอาตมา  บัดนี้ท่าน
     มีบุตรคนที่สามแล้ว จงอนุญาตให้เขาบวชเถิด  อาตมาจะได้ให้เขาได้เป็นสมณะ ดำรงเพศพรหมจรรย์ คุปตะกล่าวว่า ตกลงพระคุณเจ้า เมื่อใดลูกคนนี้ไม่เป็นผลในทางกำไลหรือขาดทุน ข้าพเจ้าจะให้เขาบวชได้
    เมื่อตกลงกันเช่นนี้ไม่นานนักพญามารได้เข้ามาทำนคร มถุรา ให้เต็มไปดัวยกลิ่นเหม็นชาวเมืองจึงพากันมา  ซื้อน้ำหอมจาก  อุปคุตซึ้งขายได้กำไรมาก พระศาณกวาสินได้ไปหาอุปคุต  ผู้ซึ้งกำลงขายน้ำหอมอยู่อย่าง
   ตรงไปตรงมา ที่ตลาด  พระเถระพูดกับเขาว่า ลูกเอ๋ยสภาพทางจิตของเจ้าเป็นไฉน   เป็นกุศลหรืออกุศล   อุปคุตตอบว่า  ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ  ข้าพเจ้าไม่รู้เลยว่า สภาพอย่างไหน  เป็นกุศล  อย่างไหนเป็นอกุศลท่านพระศาณกวาสินจึงบอกว่า  ลูกเอ๋ย  ถ้าเจ้าจับความคิดได้แม้ชั่วขณะหนี่ง   เจ้าก็สามารถชนะอุปสรรคได้
     ว่าแล้วพระเถระเจ้า  ก็ให้ขาวและผ้าดำ  อย่างละหลายๆผืน  แล้วสอนเขาว่า ถ้าความคิดเกิดในทางอกุศลเกิดขึ้น  จงวางผ้าดำลง ถ้าความคิดในทางกุศลเกิดขึ้น  จงวางผ้าขาวลงให้เจริญ อสุภกรรม ฐาน  และพุทธนุสติกรรมฐาน
    เพราะเหตุในทางความคิด  ในทางอกุศลเกิดขึ้นบ่อย  อุปคุตจึงวางผ้าดำลงสองผืน   กว่าจะวางผ้าขาวลงผืนหนึ่ง  แต่ภาวนาอยู่ได้ไม่นานเขาก็วางเพียงผ้าดำครึ่งผืน  ผ้าขาวครึ่งผืนจากนี้ก็สามารถ วางผ้าขาวได้ ๒ ผืน  ก่อนจะวางผ้าดำลงได้ผืนหนึ่ง และแล้วความคิดของเขา ก็บริสุทธิ์ผุดผ่อง   จนวางลงแต่เพียงผ้าขาวเท่านั้น  อุปคุตค้าขายตากระแสแห่งพระธรรมนั่นเอง
                             
                              นางวาสวทัตตา
       ในนคร มถุรามีคณิกานางหนึ่งชื่อนามวาสวทัตตาวันหนึ่งสาวใช้ของนางได้ไปซื้อ น้ำหอมกับอุปคุต เมื่อสาวใช้ กลับมา  แล้ววาสวทัตตา  ได้กล่าวกับนางว่า  สาวน้อย เจ้าคงไปโกงพ่อค้ามา เพราะเจ้าเอาน้ำหอมมามากเสียเหลือเกินสาวใช้ตอบว่า นายหญิงบุตรพ่อค้าน้ำหอมชื่ออุปคุต เป็นชายหนุ่มรูปงาม ทั้งเฉลียวฉลาดและสุภาพน่ารัก  ได้ขายให้อย่างตรงไปตรงมา
      เมื่อวาสวทัตตาได้ยินเข้า นางเกิดความปฏิพัทธ์ในตัว อุปคุต นางส่งสาวใช้กลับไปหาเขา ให้บอกแก่เขาว่านางจะไปพบด้วย  ต้องประสงค์จะหาความสุขสำราญ กับเขา แต่เมื่อสาวใช้ เอาความข้อนี้ไปบอกแก่เขา อุปคุตเพียงตอบว่ายังไม่ถึงเวลา ที่นางจะได้พบเขา ราคาค่าตัวของนาง วาสวทัตตานั้น ๕๐๐ ตำลึงทอง
       นางดำริว่าอุปคุตคงไม่มีเงินเพียงพอ นางจึงส่งสาวใช้ให้กลับไปใหม่ให้บอกเขาว่านางไม่ต้องการ เงินแม้แต่เหรียญกษาปณ์เดียว  จากเขานางเพรียงต้องการ ความสุขจากเขา  เท่านั้น  แต่เมื่อสาวใช้กลับไปบอกความข้อนี้แก่ อุปคุต  
เขาก็ยืนยันตามเดิมว่า ยังไม่ถึงเวลาที่นางจะได้พบเขา ต่อแต่นั้นมาอีกไม่นาน บุตรนายช่างคนสำคัญผู้หนึ่งได้มาพัก
        ณ สำนักของนางวาสวทัตตา พอดีมีพ่อค้าจับม้าป่าได้ ๕๐๐ ตัว จากทางภาคเหนือ  เอามาขายในนคร มถุราพ่อค้านั้น  ถามว่านางคณิกา   คนใดยอดเยี่ยมที่สุดในที่นี้    ครั้นได้ทราบว่า  ชื่อนางวาสวทัตตา  พ่อค้าคนนั้นจึงนำเงิน ๕๐๐ ตำลึงทอง พร้อมด้วยของขวัญอันมีค่ามากมาย  มุ่งไปสู่สำนักของนาง
      เมื่อนางวาสวทัตตาได้ข่าวการมาของเขา  โลภจริตของนางได้กำเริบขึ้น  นางจึงได้ทุบตีบุตรนายช่าง  แล้วเอาไปใส่ไว้ในกองมูลฝอย  แล้วนางก็มาหาความสุขสำราญกับพ่อค้าม้า เมื่อญาติของนายช่าง ได้ทราบเรืองราวเข้าพากันไปเอาเด็กหนุ่มคนนั้น มาจากกองมูลฝอย  แล้วนำเรื่องนี้ไปทูลฟ้องพระราชา
       พระราชาจึงโปรดให้  ราชบุตรไปจับตัวนางวาสวทัตตา  มาเพื่อตัดมือ ตัดเท้า ตัดจมูก ตัดหู แล้วนำไปทิ้งไว้ที่เชิงตะกอน ครั้นเมื่ออุปคุต ได้ทราบ เขาจึงดำริว่าก่อนนี้นางประสงค์จะพบเราด้วยเหตูผลในทางกาม  บัดนี้ มือ เท้า จมูก และหูของนาง  เขากล่าวเป็นคาถาว่า เมื่อเรือนร่าง ของนางปกคลุมด้วยเสื้อผ้าอันวิจิตรประดับด้วยอาภรณ์อันมีค่าต่างๆ ผู้ที่ต้องประสงค์จะออกจาก   วัฏสงสารเพื่อการไม่เกิด  อันจะได้เข้าสู่โมกขธรรมเขาผู้นั้นไม่ควรไปพบนาง
       แต่บัดนี้ นางปราศจากความยิ่งผยองแล้ว แม้ราคะตัณหาและกามฉันทะก็ถูกคมมีดกรีดเสียจนมีแต่ความเจ็บปวดนี้แลคือเวลาที่ควรไปหานาง จะได้เห็นนางตามสภาพที่จริงโดยธรรมชาติ อุปคุตออกเดินทางไปสู่เชิงตะกอน เพียงมีบ่าวตามกางร่มไปให้แต่ผู้เดียว เขาไปด้วยความสงบ และมีมนสิการในทางธรรมดังสมณะ ทาสีของนางวาสวทัตตา 
       ผู้ซึ่ง ระลึกถึงคุณความดี  ของนายหญิงมาก่อน   ยังคงอยู่กับนางคนนี้  เพื่อคอยไล่ฝูงกาและนกอื่นๆ ที่ชอบกินศพเป็นอาหาร เมื่อนางทาสีเห็น  อุปคุต เดินมา   จึงบอกนางวาสวทัตตาว่า  ข้าแต่นายหญิง  อุปคุต ที่นายหญิงเคยส่ง
      ข้าพเจ้าไปเชื้อเชิญ  เขาครั้งแล้วครั้งเล่านั้น  บัดนี้เขามาถึงที่นี่แล้ว  เขาย่อมต้องมาเพราะกระตุ้นแห่งกามตัณ หาโดยแท้ เมื่อนางวาสวทัตตา ได้ยินความข้อนี้จึงกล่าวว่า    เขาจะมีตัณหาหรือราคะได้อย่างไร เมื่อเขาเห็นข้าที่เชิงตะกอนมีตัวเปื้อนเลือด  ความงามไม่เหลืออีกแล้ว มีแต่ความทุกข์ทรมานนางบอกทาสี ให้เก็บเอามือเท้าจมูก และหูที่ถูกตัดออกมาจากกาย มาห่อรวมไว้เมื่ออุปคุตมาถึง และยืนอยู่หน้า
     นางวาสวทัตตาซึ่งแลเห็นเขายืนอยู่ จึงกล่าวว่า   ข้าแต่พนายเมื่อร่างกายของดิฉันยังไม่เสีย รูปทรงและดิฉันมุ่งทางกามฉันทะ ดิฉันได้ส่งสาวใช้ไปเชื้อเชิญท่านซ้ำแล้วซ้ำเล่า  แต่ท่านก็บอกว่า  น้องหญิง ยัง
ไม่ถึงเวลาจะพบฉัน  มาบัดนี้  มือของ  ดิฉัน  เท้าของดิฉัน  จมูกของดิฉัน และหูของ
        ดิฉัน  ถูกตัดออกหมดแล้ว   ดิฉันนั่งจมกองเลือดของตนเองอยู่  แล้วทำไม่ท่านจึงไม่มาหาดิฉันเล่า  เธอกล่าวเสริมต่อว่า  เมื่อร่างกายดิฉันเหมาะ สมควรแก่การทอดทัศนาอ่อนนุ่นดังดอกบัว  ประดับไปด้วยเสื้อผ้า และอาภรณ์อันหาค่ามิได้  แต่แล้วเป็นที่น่าเสียดายนัก  ที่ดิฉันไม่ได้พบท่านทำไมท่านจึงมาดูแลดิฉันในบัดนี้  ในขณะที่ร่างกายของดิฉันไม่ควรที่จะมีใครมาแลมอง
        ด้วยมีแต่เลือดและโคลนตล้อมรอบกาย อันน่า     สะพรึงกลัวร่างนี้ไม่มีอะไรให้น่า  พิศมัยไม่น่าสนุกไม่น่าหฤหรรษ์และไม่น่า เกิดสุขอีกแล้ว อุปคุตตอบว่าน้องหญิงฉันไม่ได้มาหาเธอเพราะแรงกระตุ้นแห่งตัณหา หากฉันมาดูสภาพที่แท้ของธรรม ชาติที่ห่อหุ้มร่างกายไว้ด้วยกิเลสและตัณหาเมื่อเธอห่อหุ้มร่างไว้ด้วย พัสตราภรณ์ และเครื่องประดับภายนอกอื่นๆ  อันมีค่า  ย่อมช่วยยั่วยวนให้เกิดตัณหาแก่
      ผู้ซึ่งมองดูเธอ เพราะเขาแลไม่เห็นเธอตามสภาพที่แท้จริง แม้เขาจะพยายามเพ่งพินิจก็ตามแต่บัดนี้ เธอปลอดจากเครื่องล่อลวงต่างๆ แล้วอาจมองเห็นร่างของเธอได้   ตามสภาพที่แท้จริง คนที่แสวงหากามสุขจากเรืองร่างอัน หยาบนี้ช่างโง่เขลาเสียจริงๆ ใครเล่าจะมีความรู้สึกต่อร่างกาย  
      ซึ่งมีแต่หนังห่อหุ้มไว้เต็มไปด้วยกองเลือดรอบๆตัว  ทั้งยังเปื้อนผิวหนัง  ด้วยแลเห็นเนื้อเป็นก้อนๆโยงไปยังกล้ามเนื้อและเส้นยิ่งไปกว่านี้คนพาล แลเห็นความสวยงามจากรูปภายนอกแล้ว ย่อมเกิดปฏิพัทธ์ผูกพันโดยที่เขาควรจะรู้ว่าภายในนั้น เน่าเหม็น  ผู้รู้จึงไม่ยึดติดในสิ่งเหล่านี้  ซากศพย่อมโสโครกและน่าเกลียด
      โดยที่ความบริสุทธิ์จะมีได้  ก็ต่อเมื่อระงับตัณหาเสียได้  ผู้ซึ้งระงับยับยั้งได้ก็จะรู้ว่า  ที่แท้กลิ่นเหม็นย่อมประกอบไปด้วยกลิ่นหอม เป็นอันมากที่รวมตัวกัน แม้น้ำหอมก็คือการกันของความบริสุทธิ์ การเอาเสื้อผ้าและเครื่องประดับมา สวมใส่ นั้นช่วยได้แต่การแสดงออกภายนอกเท่านั้น   แต่ความโสโครกภายในหาแก้ไขอะไรได้ไม่  โดยที่เหงื่อไคลและฝุ่นละออง ก็ยังมีอยู่กับร่างกาย แม้จะชำระล้างได้ดัวยน้ำ เป็นครั้งคราวก็ตามด้วยเหตุฉะนี้  
       คนพาลจึงหลงอยู่กับโครงกระดูก  อันน่าโสโครก ด้วยไปยึดติดกับ  ตัณหา  สำหรับผู้ที่ละตัณหาเสียได้  ย่อมรู้ว่านั่นคือการคลุกเคล้า  ไปด้วยความน่าเบื่อ   ความโศกและความทุกข์นี่มิใช่สิ่งที่วิญญูชน จะพึงสรรเสริญเขา  ย่อมออกสู่ป่าอันสงัดมีจิตใจมุ้ง ไปสู่ความพ้นทุกข์ละเสียซึ่งตัณหา  เพื่อเขาจะข้ามพ้นไปสู่ฝั่งโน้นละเสียได้ จากโอฆะสงสาร  การเวียนว่าย ตาย เกิด  เขาย่อมจะถือเอามรรค  เป็นนาวาย่อมสดับและประพฤติปฏิบัติตาม
      พระวจนขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงพระคุณพระคุณอันประเสริฐ  เมื่อนางวาสวทัตตาได้ยินคำกล่าว นางรู้สึกสะพรึงกลัวในวัฏสงสารจิตใจของนางอ่อนน้อมและสงบลง     เมื่อรำลึกถึง พระพุทธคุณ  นางรำพันขึ้นว่าที่ว่ามานั้นสมควรแก่คำของท่าน ผู้เป็นปราชญ์  พอดิฉันได้พบท่านก็ได้รับพระคุณจากท่านให้ได้ยิน  พระพุทธวจนะอุปคุตจึงเริ่มเทศนาอนุปุพิกถา  ให้นางเข้าใจในเรื่องของ ทาน ศีลภาวนา โทษของกาม และทางออกจากกาม ตัวเขาเองก็เข้าใจซึ้งถึงธรรมชาติ ที่แท้จริงแห่งร่างกาย  ของนางวาสวทัตตาจนเกิดความรังเกียจใน
        กามภพการที่เขาใจในสัจธรรมนั้น ก็ด้วยการที่เขาแสดงธรรมนั่นเอง  อุปคุตได้สำเร็จเป็นพระอนาคามี ณที่นั้นเอง  โดยที่นางก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน  เมื่อนางได้ดวงตาเห็นธรรมนางได้รำพันบุญคุณของ  อุปคุตว่าขอขอบพระ   คุณท่านที่ช่วยให้ดิฉันพ้น จากอบายภูมิอันน่ากลัว และการไปสู่ภพใหม่อันต่ำทรามอันจักต้องทุกข์ทรมานยิ่งนัก   บัดนี้สุคติภูมิได้เปิดให้ดิฉันแล้ว และดิฉันก็มีโอกาส
        ไต่เต่าตามกระแสพระอริยะมรรค  สู่พระนิพพานด้วยจากนั้นนางได้บอกเขาว่า  บัดนี้ข้าพเจ้าขอถึง พระพุทธเจ้าตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นสรณะพร้อมด้วยพระธรรมและสงฆ์  นางได้พรรณาต่อไปอีกว่าข้าพเจ้าขอถือพระชินเจ้าเป็นสรณะ พระชินเจ้านั้นมีพระเนตร อันสุกสกาวเบิกบานดังดอกบัวแรกแย้ม ทรงแวดล้อมไปด้วยหมู่อมร
       พระมุนี ข้าพเจ้าขอถือเอาพระอริยสงฆ์เป็น สรณะด้วย    เมื่ออุปคุตแสดงธรรมแก่นาง  วาสวทัตตาจบลงแล้วก็กลับไปจากนั้นไม่นาน  นางก็ถึงกาลกิริยา แล้วไปเกิดในหมู่ทวยเทพ ในนครมถุรา บรรดาเทวดาประกาศว่า   เมื่อนางวาสวทัตตาได้ฟังอุปคุตแสดงธรรมแล้วนั้น นางได้ดวงตาเห็นธรรม บัดนี้นางได้ตายไปแล้ว และได้เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
      เมื่อชาวเมือง  นคร มถุรา  ได้ยินคำของทวยเทพ   ชาวเมือง  จึงพากันไปบูชาสักการะรูปกายของ นางวาสวทัตตาอุปคุตออกบวช ลำดับนั้นท่าน พระศาณกวาสินได้ไปยังคุปตะพ่อค้าน้ำหอมพลางกล่าวว่าจงอนุญาตเถิด
        อาตมาจะได้ให้ อุปคุตบวช คุปตะตอบว่าข้าแต่พระเจ้าผู้เจริญข้อตกลงมีอยู่ว่าเมื่อ ข้าพเจ้าไม่ได้กำไรหรือขาดทุน  จะย่อมอนุญาตให้เขาบวช พระศาณกวาสินเถระจึงใช้อิทธิฤทธิ์ ไม่ไห้คุปตะได้กำไรหรือขาดทุน คุปตะนับแล้วชั่งก็แล้วตวงก็แล้วไม่ปรากฏว่าเขาได้กำไรหรือขาดทุน
       พระศาณกวาสินเถระ จึงบอกเขาว่า  แท้จริงแล้วพระผู้มีพระภาคเจ้า   ได้ทรงมีพุทธพยากรณ์ ไว้เกี่ยวกับลูกชายของท่าน  พระองค์ตรัสว่า ร้อยปีแต่ปรินิพพาน  ไปเขาผู้นี้แหละ  จะรับงานของพระบรมศาสดา มาดำเนินต่อไปขอให้ อาตมาได้บวชให้เขาเพื่อทำกิจของพระศาสนาเถิด ในที่สุดคุปตะพ่อค้าน้ำหอม  จึงยอมอนุญาตให้อุปคุตบวชพระศาณกวาสินจึงพาอุปคุตไปยัง  วัดนฏภฏิกะอรัญญิกาวาส  ให้รับการอุปสมบทเป็น  พระภิกษุท่านพระอุปคุต  ได้ปฏิบัติจนสามารถชนะกองกิเลสได้หมด ตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ขีณาสพองค์หนึ่งในโลก
       พระศาณกวาสินเถระเจ้า  จึงกล่าวว่า ดูก่อน อุปคุต ผู้เป็นสัทธิวิหาริก  พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพุทธพยากรณ์ไว้ว่า  เกี่ยวกับตัวเธอ พระองค์ตรัสว่าร้อยปีแต่พุทธปรินิพพาน จะมีภิกษุชื่อว่า อุปคุต ซึ่งจะตรัสรู้เป็นอนุพุทธ  แล จะรับพุทธกิจมากระทำต่อไป โดยจะได้เป็นเอตทัตคะในบรรดา   ธรรมกถึกทั้งหลาย  ฉะนั้นขอเธอ
       จงยังกิจเพื่อสัตถุศาสนาเถิดพระอุปคุตรับคำว่า  สาธุพระคุณเจ้า พระเจ้าศรีธรรมมาโศกราชสร้างพระสถูปเจดีย์ เมื่อพระเจ้าศรีธรรมมาโศกราช  ทรงสร้างพระสถูปเจดีย์  เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุจำนวน ๘๔,๐๐๐ องค์  ครั้นบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ  เรียบร้อยแล้วทรงมีพระราชประสงค์ จะจัดงานฉลองสมโภชพระมหาเจดีย์ ให้สมพระราชศรัทธา โดยจะจัดฉลองเป็นเวลาถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วันทรงเห็นว่า
       งานสมโภชพระมหาธาตุนี้เป็นงานใหญ่เกรงว่าจะมีอันตราย   และความขัดข้องทรงข้อให้คณะสงฆ์หาทางช่วยป้องกันโดยขอให้คัดเลือกพระเถระผู้มีความสามารถมาช่วย ป้องกันภัยอันตราย พระเถรานุเถระทั้งหลายเข้าญาณพิจารนา ก็ทราบ  ด้วยญาณของตนเองว่า ภัยจะเกิดมีเนื่องในงานสมโภชพระมหาเจดีย์ครั้งนี้ต่างก็หาผู้ช่วยป้องกัน
        พระเถรานุเถระประมาณกำลังตน  ก็รู้ว่าไม่สามารถ และก็รู้ว่ามีพุทธพยากรณ์ไว้แล้วว่า  ท่านพระมหาอุปคุตเถระเจ้ามีหน้าที่ในการนี้ โดยเฉพาะ จึงไม่มีพระเถระองค์รับภาระป้องกัน พระเถระทั้งหลายจึงให้พระภิกษุหนุ่ม ๒ รูปผู้ทรงอภิญาณสมาบัติไปอาราธนา    
       พระอุปคุตมหาเถระ (ชื่อเต็มว่า พระกีสะนาคะอุปคุตมหาเถระ) มาสู่ที่ประชุม พระภิกษุหนุ่ม ๒ รูปนั้น จึงเข้าญาณสมาบัติระเบิดน้ำลงไปหาท่านพระอุปคุต แล้วแจ้งให้ทราบว่าบัดนี้ พระเถระทั้งหลายมีบัญชาให้ข้าพเจ้าทั้งสองมาอาราธนาพระคุณท่าน ไปร่วมประชุมเพื่อปรึกษางาน พระพุทธศาสนา
        พระอุปคุตมหาเถระทราบ สังฆบัญชาเช่นนั้นคิดว่าจะต้องไปร่วมประชุมในครั้งนี้ จะขัดสังฆบัญชาไม่ได้  ต้องเคารพอำนาจแห่งหมู่สงฆ์  และงานนี้ก็เป็นงานพระพุทธศาสนาครั้นดำริดังนั้นแล้ว พระอุปคุตเถระจึงบอกภิกษุ ๒รูปนั้นว่าท่านจงกลับไปก่อนเถิด เราจะตามไปที่หลังพระภิกษุหนุ่ม ๒ รูปนั้นกราบลาเดินทางล่วงหน้ามาก่อน
        พระอุปคุตจึงเข้าฌาญสมาบัติมาถึง สำนักพระเถรานุเถระทั้งหลายก่อนพระภิกษุหนุ่ม ๒ รูปนั้นอีก
พระสังฆ์เถระประชุมสงฆ์ จึงกล่าวแก่พระอุปคุตว่า คณะสงฆ์จะลงทัณฑ์กรรมแก่ท่าน  เพราะความผิดที่ท่านไม่สามารถสังฆกรรม   ทำอุโบสถฟังพระปาติโมกข์ร่วมกับคณะสงฆ์ พระอุปคุตจึงกล่าวว่าข้าพเจ้ายินดีรับทัณฑ์กรรมที่คณะสงฆ์ 
        จะลงโทษขอพระคุณเจ้า แจ้งมาว่าจะให้ข้าพเจ้าทำประการใด พระสังฆ์เถระประชุมสงฆ์แล้วว่า บัดนี้พระเจ้าศรีธรรมมาโศกราช ทรงปรารถนาจะทำการสมโภชพระเจดีย์ ที่บรรจุพระบรมธาตุ ๘๔,๐๐๐ องค์ที่ทรงสร้างไว้   ในชมพูทวีปทั้งหมด  ต้องใช้เวลาถึง ๗ ปี๗ เดือน ๗ วัน ให้สมพระราชศรัทธา  แต่เกรงว่าการสมโภชอันมีเกียรตินั้น  จะไม่พ้นภัย เกรงว่าพญามารจะขัดขวางทำลายไม่ให้   
        ราชพิธีสมโภชนั้นไปด้วยดี  พระศรีธรรมมาโศกราช  ตรัสให้คณะสงฆ์ช่วยป้องกัน  พวกมีใคร่ความสารถจะช่วยได้  เห็นมีแต่ท่านผู้เดียวฉะนั้น คณะสงฆ์จะลงทัณฑ์กรรมแก่ท่านโดยให้ท่านเป็นธุระป้องกันภัยอันตราย ในงานสมโภชครั้งนี้ เพราะท่านห่างเหิน การปกครองของคณะสงฆ์ และ ไม่มาร่วมทำอุโบสถสังฆกรรม ตามพระราชบัญญัติ
        พระอุปคุตจึงยอกรอัญชลีสงฆ์  ก้มลงกราบแล้วกล่าวว่า  ข้าพเจ้ายินดีรับทัณฑ์กรรมนั้น เมื่อได้ผู้ป้องกันภัยอันตรายในการบำเพ็ญกุศลแล้ว  พระเถรานุเถระทั้งหลายก็วางใจ
คณะสงฆ์โดยมี  พระโมกคัลลีบุตร  ติสสะเถระ เป็นประธานจึงถวายพระพรให้พระเจ้าศรีธรรมมาโศกราช  ทรงโสมนัสยิ่งนัก
       แต่ครั้นทอดพระเนตรเห็นองค์พระอุปคุตมหาเถระเจ้า  แล้วก็ทรงหนักพระหฤทัย   เพราะท่านมีร่างกายผ่ายผอม   แทบจะปลิว  ไปตามลมครั้นรุ่งเช้าทอดพระเนตรเห็น  พระอุปคุต  เดินไปบิณฑบาตทรงมีพระราชบัญชา สั่งให้พนักงานเลี้ยงช้างปล่อยช้างตกมันไล่ พระอุปคุตมหาเถระเพื่อทดสอบ
       พระอุปคุตมหาเถระเห็นช้างวิ่งไล่มาข้างหลัง จึงเข้าฌาญสมาบัติอธิฐานจิต ให้ช้างตัวนั้นแข้งดุจหินไม่ขยับเยื้อนได้  พระเจ้าศรีธรรมมาโศกราชทอดพระเนตรเห็นดังนั้นจึงทรงขอขมา และทรงพอพระหทัยยิ่งนัก เกิดความเคารพนับถือ พระมหาอุปคุตเป็นอันมาก ครั้นได้มงคลฤกษ์  จึงเริ่มพิธีสมโภช พระมหาเจดีย์ตามพระราชประสงค์
       ดั่งนั้น พญามารวัสวดีมาราธิราช ทราบงานพิธีของพระเจ้าศรีธรรมมาโศกราช จึงเกิดความไม่พอใจ คิดจะทำลายพิธีนั้นจึงแสดงอิทธิฤทธิ์ให้บังเกิด  มหาวาตะพายุอย่างแรง  มีกำลังอย่างแรง  มีกำลังพัดมาประหนึ่งจะถล่มแผ่นดินให้ทลาย พระอุปคุตมหาเถระเห็นอากาศวิปริตอย่างนั้นก็ทราบชัดด้วยญาณอันประเสริฐของท่านว่า
        บัดนี้พญามารมาทำลายพิธีแล้ว   ท่านจึงเข้าญาณสมาบัติโดยพลันอธิฐานให้เกิดเป็นเหมือนกัน   ลมของพญามารก็พ่ายแพ้   พญามารก็แผลงฤทธิ์ใหม่เป็นลมกรด  เป็นเพลิง เป็นทรายเพลิงเร่าร้อนด้วยไฟและประการอื่นอีกหลายอย่าง  พระอุปคุตก็เข้าญาณสมาบัติแก้ได้ทุกอย่าง   จนพญามารเกิดโทสะแรงกล้า พยายามจะทำลายล้างพระมหาเถระ จึงปรากฏตัวเป็นพญามารเข้าไปใกล้                 
       พระอุปคุตมหาเถระ เห็นว่าพญามารนี่ เกเรมากคอยแต่จะทำลายคนทำบุญ ทำกุศลคนประพฤติดีไม่ชอบไม่อยากเห็นความดีของผู้ใด  มีปกติริษยาความดีของผู้อื่นไม่มีใจอนุโมทนาของผู้ใด
    พระอุปคุตมหาเถระเจ้า  พิจารณาเหตุการณ์นี้ด้วยญาณ  ก็ทราบว่าพญามาร เป็นต้นเหตุ ดังนั้นในวันที่สองมหาชน ได้มายัง นครมถุราคิดว่า ขณะที่ พระอุปคุตแสดงธรรม จะมีไข่มุกหล่นลงมา ดังห่าฝนครั้นถึงเวลาเทศน์  ขณะพระอุปคุตยุติการแสดงธรรมทีละขั้น  (อนุปุพพิกถา) ก่อนบรรยาย   เรื่องพระอริยสัจ พญามารก็บัดดาลให้ทองตกลงมาสู่ที่ประชุมจิตของผู้ที่มีกำลัง 
       น้อมนำเข้าหาพระศาสนาย่อมผันแปไป  จนไม่มีใครได้แลเห็น สัจจะธรรมเลย พระอุปคุตได้พิจารณาเหตุการณ์นี้อย่างแยบคายอีก  ว่าใครหนอ เป็นตัวการทำลายพุทธพิธี   ก็ทราบว่าพญามารมาขัดขวาง  การแสดงธรรมของท่าน ครั้งนี้  ถึงวันที่สาม มหาชน ได้มาประชุมกันมากกว่า วันก่อนอีกต่างพากันคิดว่า   
       เวลาพระอุปคุตเทศนา ไข่มุกและทองคำจะตกลงมา  เมื่อถึงตอนแสดงธรรม จนจบขั้นอนุปุพพิกถาแล้วกำลังจะเริ่มอธิบายพระอริยะสัจจ์  พญามารก็เริ่มแสดงฤทธิ์ ไม่ไกลไปจากที่ประชุมชนให้บังเกิดการแสดงเทพศาสตรา  และนางอัปสรออกมาร่ายรำ มหาชนในที่นั้นก็พากันสนใจดู นับว่าพญามารได้ล่อล่วง มหาชนให้ออกจากพระศาสนาได้สำเร็จ  พญามารพอใจที่ได้ดึงเอาชุมนุมชน
       ออกจากพระอุปคุต ไปสู่อำนาจตนจนถึงกับ พญามารได้ใจเอาพวงมาลัยไปคล้องคอ ท่านพระอุปคุต พระอุปคุตจึงกำหนดจิตทราบว่า เป็นพญามารพระเถระเจ้าจึงตรึกตรองต่อไปว่า พญามารตนนี้ก่อเหตุทำร้าย  พระธรรมคำสั่งสอนของ พระผู้มีพระภาคเจ้า และแล้วพระคุณเจ้าก็ดำริว่า   อาตมาจะต้องทำให้พญามารหันมาสมาทาน ศีลสิกขาในพระศาสนาให้จงได้
       เพราะเรื่องปรามมารอันจำเป็น คุณแก่สรรพสัตว์นี้เอง  พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงมีพุทธพยากรณ์เกี่ยวกับอาตมาว่า  เป็นอนุพุทธ ลำดับนั้น พระอุปคุตจึงกำหนดจิตดูว่า ถึงเวลาที่พญามารจะหัน เข้ามาถือพระศาสนาได้หรือยัง และก็แจ้งแก่ญาณว่าถึงเวลาแล้ว พระคุณเจ้าจึงนำร่างมาสามร่าง เป็นร่างงูตาย  ๑ สุนักตาย ๑ คนตาย ๑  และด้วยอิทธิวิธี พระเถระเจ้าเนรมิตร่างทั้งสามนั้น ให้เป็นพวงมาลาสุคันธชาติ   แล้วพระเถระเจ้าจึงได้ไปหาพญามาร
     เมื่อพญามารเห็นพระเถระเจ้า  พร้อมด้วยพวงมาลัย  ดอกไม้ก็พอใจมาก คิดว่าเอาชนะพระอุปคุตได้แล้ว  พญามารจึงแสดงตนออกมาปรากฏ  พอพระอุปคุตได้มอบพวงมาลัยให้  แต่แล้วพวงมาลาก็กลายสภาพ เป็นร่างศพทั้ง ๓ ร่าง  แล้วท่านพระอุปคุตจึงกล่าวว่า ดุจดังที่ท่านเอาพวง มาลาสวมให้อาตมาซึ่งไม่เหมาะสมกับสมณะอาตมาจึงเอาร่างทั้งสามนี้มาร้อยรัด
      ท่านไว้ด้วยร่างดังกล่าว   ก็ไม่เหมาะสมสำหรับผู้ที่กระหายในกามเช่นกัน  จงแสดงฤทธิ์ของท่านออกมาเถิด  วันนี้ท่านได้เผชิญหน้ากับศิษย์ของพระศากยมุนี  แม้เทวดา อินทร์ พรหม  ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ใดๆ ก็หาช่วยท่านไม่ได้
       พญามารได้ยินดังนั้น  จึงพยายามเอาร่างทั้งสามออก  แต่ด้วยอานุภาพแห่งพระอุปคุตมหาเถระเจ้า ย่อมอาจสลัดออกได้ ดังมดไม่อาจยกภูเขาได้ฉะนั้น พญามารบันดาลโทสะจึงเหาะขึ้นไปบน
       อากาศแล้วกล่าวว่า  แม้ข้าพเจ้าจะเอาร่างสุนัขนี้ออกจากคอไม่ได้แต่เทพเจ้าองค์อื่นๆ ซึ่งทรงอิทธิฤทธิ์ยิ่งกว่าข้าพเจ้า ก็จะช่วยให้ข้าพเจ้าได้ พระเถระเจ้าจึงกล่าวไปว่า  จงไปถือเอาพระอินทร์  พระพรหม และผู้มีฤทธิ์ใดๆ เป็นสรณะเถิด  แต่ร่างที่รัดคอท่านอยู่ นั้น  จะหลุดจากคอท่านไปก็หาไม่  
      พญามารได้ไปหาเทพเจ้าหลายองค์มี พระอินทร์เป็นต้น   แต่ก็หาสมประสงค์ไม่ สุดท้ายพญามาร ได้ไปหาท้าวมหาพรหมอ้อนวอน ท่านแต่พระพรหมก็กล่าวว่า  ลูกเอ๋ย อย่ามาหาเราเลยใครเล่าจะเอาพันธะนี้ออกเสียได้  ก็ในเมื่อศิษย์ของพระทศพลผู้ทรงญาณ 
       ได้ใช้อิทธิฤทธิ์ผูกไว้ ดุจที่สุดขอบมหาสมุทรนั้นแล  เอาก้านบัวยกภูเขาหิมาลัยให้พ้นจากพื้นดิน  ยังง่ายเสียกว่าที่ใครๆ  จะเอาร่างสุนัขตาย  ที่สะกดไว้ที่คอท่านออกได้  จริงอยู่อำนาจของเรานั้นยิ่งใหญ่  แต่แม้กระนั้นเราก็เทียบไม่ได้เลยกับ ศากยะบุตรของพระตถาคตเจ้า
        แสงของเราดุจ  ดังแสงดาวพระเคราะห์  จะไปเทียบกับแสงพระอาทิตย์กระไรได้ พญามารจึงถามต่อไปว่า   ท่านจะแนะนำ  ให้ทำอย่างไร  ข้าพเจ้าควรไปหาใครพระพรหมตอบว่า จงถือเอาพระอุปคุตเป็นสรณะ เพราะท่านเป็นพุทธบุตรทรงคุณอันประเสริฐ  เป็นสาวกของพระชินสีห์ผู้ทรง พระมหากรุณาธิคุณ  พญามารเมื่อทราบว่าเพียงศิษย์ ของพระพุทธเจ้า ยังมีอิทธิฤทธิ์มากถึงเพียงนี้ จึงดำริว่าฤทธาศักดานุภาพของพระพุทธเจ้า นั้นย่อมเหลือคณานับ  แม้ท้าวมหาพรหม  ยังเคารพนับถือนับประสาอะไรพระอรหันเจ้า ย่อมลงโทษเราได้ตามใจปรารถนาแต่ ก็มีขันติ ไม่ได้ทำอะไรแก่เราให้ยิ่งไปกว่านี้เท่ากับ    
        ว่าท่านให้โอกาสเราดังนั้น เมื่อ เราได้พบแล้วซึ่งพระอรหันต์ที่เปี่ยมไปด้วยกรุณาจิตของท่านปราศจากความเบียดเบียนบีฑา  รัศมีของท่านดุจดังภูเขาทองเราเองถูกโมหะครอบงำจนตาบอด  ทำร้ายได้แม้กระทั่งพระคุณท่านครั้งแล้วครั้งเล่า ด้วยอุบายร้อยแปดพันประการแต่พระคุณเจ้า  จะกล่าววาจาว่าร้ายเราสักคำหนึ่งก็หาไม่
       ลำดับนั้น  พญามารผู้เป็นใหญ่ในกามภพก็สำนึกได้ว่า  มีแต่พระอุปคุตเท่านั้นที่จะแก้ให้ตนได้  จึงเหาะไปหาพระเถระเจ้า   พอถึงก็จึงก้มกราบแทบเท้า  ทั้งสองของท่านพลางกล่าวว่า  ข้าแต่พระคุณเจ้าท่านย่อมทราบดีอยู่แล้วว่า 
       ข้าพเจ้าได้เคยทำร้ายพระผู้มีพระภาคเจ้า มานับเป็นร้อยๆครั้งจำเดิมแต่ วันตรัสรู้ที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ และที่อื่นๆ  แล้วพรรณนาไปว่า เมื่อพระสมณะโคดม ได้บิณฑบาต อยู่ ณ หมู่บ้านพราหมณ์ ข้าพเจ้าไม่ให้พระองค์ได้รับอาหาร  บิณฑบาตเลยต่อมา
      ข้าพเจ้าแปลงเป็นคนขับเกวียนและโคถึกตลอดจนเป็นงูร้ายกลั่นแกล้งพระองค์ต่างๆนานา แต่พระองค์ก็ไม่ได้ทรง  ทำร้ายตอบข้าพเจ้าเลย ส่วนพระคุณเจ้าผู้เป็นพุทธบุตรนั้น   ได้ละความกรุณา ในสันดาลเสียแล้วเพราะพระคุณเจ้าท่าน ได้ทำให้ข้าพเจ้าอับอายยิ่งนัก
      พระเถระเจ้าตอบว่า ดูก่อนพญามารท่านไม่ ได้พิจารณา  ปัญหาให้รอบครอบดอกหรือ ท่านเอาสาวกไปเปรียบกับ  พระอนันต์คุณของพระผู้มีพระภาคเจ้าได้อย่างไร ท่านเอาเขาพระสุเมรุ ไปเปรียบกับเม็ดพันธ์ผักกาดได้อย่างไร  เอาพระอาทิตย์ ไปเทียบกับหิ่งห้อยได้อย่างไร  เอามหาสมุทรเปรียบกับน้ำในอุ้งมือได้อย่างไร
       พระหากรุณาธิคุณของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มี ต่อสรรพสัตว์นั้น  ไม่มีประมาณแล้วพระเถระเจ้าจึงกล่าวต่อไปอีกว่า บัดนี้อาตมาเห็นชัดแล้วถึงเหตุผลที่พระทศพลเจ้าปล่อย  ท่านไว้แม้ท่านจะทำความชั่วมามากก็ตาม
      พญามารกล่าวว่า  โปรดบอกข้าพเจ้าด้วยเถิด ถึงพุทธประสงค์ของ องค์พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงไว้ซึ่งพระมหากรุณาธิคุณ  เปี่ยมไปด้วยพระบารมีแต่แล้ว โมหะ
จริตของข้าพเจ้า ก็ทำร้ายพระองค์ในขณะที่พระองค์ท่าน  กลับทรงไว้ซึ่งพระเมตตากรุณาธิคุณต่อข้าพเจ้าเสมอ
       พระเถระตอบว่าดูก่อน  พญามารท่านจงฟังท่านทำผิดมาก  ล่วงเกินพระผู้มีพระภาคเจ้า มีทางเดียวเท่านั้นที่ท่านจะล้างบาปเสียได้  นั้นคือ การถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ เพียงประการเดียวเท่านั้นที่จะช่วยท่านได้  พระเถระจึงพรรณนาว่าด้วยเหตุที่พระมหามุนี ผู้มีพระเนตรอันยาวไกลไม่ทรงบริภาษด้วยถ้อยคำอันรุนแรงต่อท่าน หากตรัสกับท่าน  ด้วยพระมธุรสวาจา  ก็เพราะทรงประกอบไปด้วย พระมหากรุณาอันยิ่ง มีพระประสงค์จะให้ท่านเกิดศรัทรา ในดวงกมลแล้วน้อมใจ ไปสู่พระพุทธองค์เพียงเล็กน้อยก็จะก่อให้เกิดผล ในทางปรีชาญาณอันผู้ฉลาดจะเข้าถึง 
       พระนิพพานได้บัดนี้พญามารมีผมและขนลุกชูชัน ขึ้นดุจดังไม้เริ่มผลิตใบ ได้ก้มลงถวายอภิวาทแด่ ท่านพระอุปคุตเถระเจ้า พลางพรรณนาว่าจริงๆแล้ว  ข้าพเจ้าได้ทำการไม่ดีหลายๆ อย่าง  ต่อ  พระพุทธองค์ แม้ก่อนจะทรงตรัสรู้  ข้าพเจ้าก็ได้มาล่อล่วงพระองค์  ทรงติดอย่างในความสำเร็จทางโลก   แต่พระมหามุนีผู้ประเสร็จสุด  ก็ข้ามพ้นจากบ่วงของข้าพเจ้าไปได้  และไม่เอาโทษข้าพเจ้าดุจบิดากรุณาต่อบุตร ฉะนั้น เมื่อพญามารมีจิตศรัทธาใน พระผู้มีพระภาคเจ้าได้รำลึกถึงพระพุทธคุณ แล้วจึงก้มลงกราบที่พระบาททั้งสองของ พระอุปคุตมหาเถระเจ้า พลางกล่าวว่า
      วันนี้พระคุณเจ้า ได้อนุเคราะห์ข้าพเจ้ายิ่งนัก  เพราะคุณเจ้าจึงได้เข้าถึง พระคุณานุคุณของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอพระคุณเจ้า โปรดเมตตาอดบ่วงที่รัดคอข้าพเจ้าออก ด้วยเถิดเพราะนี้เกิดจากที่พระคุณเจ้าต้อง  การลงโทษข้าพเจ้า  ท่านพระอุปคุตตอบว่า อาตมาจะถอดออกให้ หากแต่มีข้อแม้  พญามาร ถามว่าข้อแม้เป็นไฉน พระเถระเจ้าบอกว่า  ประการแรก  จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไปท่านต้องไม่เบียดเบียนบีฑาพระภิกษุ และผู้บำเพ็ญบุญในพระพุทธ  ศาสนา
       พญามารรับว่า  ข้าพเจ้าตกลงตามนั้นแล้วยังมีคำสั่งข้ออื่นใดอีกไหม พระคุณท่าน พระเถระเจ้าบอกว่านั้นเป็นคำสั่งไม่ให้ทำร้าย พระพุทธศาสนาต่อแต่นี้ไปอาตมาจะขอให้ท่านช่วยสักเรื่องหนึ่ง พญามารกล่าว ด้วยความเคารพว่า  ขอพระผู้เป็นเจ้าจงบอกมาเถิด  พระอุปคุต จึงกล่าวว่าท่านก็รู้อยู่ว่านับแต่อาตมาอุปสมบทภายหลังจาก 

        พระปรินิพพานของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า อาตมาได้แลเห็นพระธรรมแล้วแต่ อาตมาไม่เคยเห็นพระรูปกายแห่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเลย ก็เมื่อท่านว่าอาตมาอนุเคราะห์แก่ท่าน ขอท่านจงตอบแทนอาตมาด้วย การเนรมิตพระรูปกายของพระสุคตเจ้าเถิด  เพื่อเป็นการทัศนานุตริยะแก่อาตมาเถิด
       พญามาร ตอบว่าได้สิพระคุณเจ้า แต่พระคุณเจ้าโปรดฟังข้อแม้ของข้าพเจ้าให้ดีๆ  เมื่อพระคุณเจ้ามองมาที่ข้าพเจ้าที่ได้เนรมิตกายเป็นพระพุทธเจ้าอยู่นั้น ขอจงอย่าได้ถวายอภิวาทมาทางข้าพเจ้า แม้จะนึกถึงพระพุทธคุณของพระพุทธเจ้าอยู่ หากพระคุณเจ้าแสดงความเคารพแม้เพียงเล็กน้อยมาทางข้าพเจ้าข้าพเจ้าไม่มีฤทธิ์พอที่จะทนต่อ อำนาจจากการกราบไหว้ของพระคุณเจ้า ซึ้งหมดอาสวะกิเลสแล้ว
       ได้ข้าพเจ้านั้นดุจหน่ออ่อนของต้นไม้ จะไปทนน้ำหนักแห่ง คชสารอย่างไรพระเถระเจ้าตอบว่า  ตกลงตามนั้นเมื่อตกลงกันเช่นนี้แล้ว พระอุปคุตก็รอดูอยู่ เพื่อจะได้ทอดทัศนาพระรูปกายแห่งพระสัพพัญญูเจ้า ส่วนพญามารนั้นเมื่อเข้าไปถึงในป่าแล้ว  ก็เนรมิตกายเป็นพระพุทธองค์พร้อมด้วย พระอัครสาวกเดินออกาจากป่าดุจดังครั้งพุทธกาล
       เมื่อพญามารได้เนรมิตพระรูปกาย ของพระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมด้วยรัศมีอันโชคช่วง แล้วก็ได้เนรมิตรูป พระสารีบุตรไว้ในเบื้องขวา พระโมคคัลลาน์ ไว้เบื้องซ้าย และพระอานนท์ไว้เบื้องหลัง มือของพระอานนท์ถือบาตรของ  พระพุทธเจ้านอกจากนี้แล้ว พญามารยังได้เนรมิต รูปของพระมหากัสสปะ พระอนุรุทและพระสุภูติ  พร้อมด้วยรูปพระภิกษุสงฆ์
       อีกจำนวน  หมื่นสามพันห้าร้อยองค์ตามเสด็จพระพุทธเจ้า  เมื่อพญามารเข้าพระอุปคุต  พระอุปคุตบังเกิดปิติปราโมทย์  คิดในใจว่าพระสิริของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็น  เช่นนี้เองด้วยความยินดีเป็นอย่างสูงพระคุณ   จึงลุกขึ้นจากอาสนะแล้วอุทานว่า โอ้ อนิจจา ความไม่เที่ยง ได้ตัดพระคุณสมบัติเช่นนี้ ให้สลายไปสิ้น แม้พระวรกายอันวิเศษ ของพระมหามุนียังถูกกฎของอนิจลักษณะ ทำให้ปลาสนาการไป จนไม่มีอะไรเหลือไว้ให้ได้เห็นอีกเลย  โดยที่จิตคิดมุ่งไปในทาง 
      พุทธานุสติ พระอุปคุตเลยนึกว่าท่านแลเห็น พระผู้มีพระภาคเจ้าจริงๆ พระเถระเจ้าเข้าไปใกล้แล้วจึงกระทำอัญชลี ด้วยการกระพุ่มมือให้เป็นดุจดอกบัวตูม  แล้วออกอุทานว่า พระวรกายของพระผู้มีพระภาคเจ้า วิเศษยิ่งจะกล่าว อะไรยิ่งไปกว่านี้ได้อีก
        พระพักตร์เลิศกว่าดอกปทุม  พระเนตรงามยิ่งกว่าดอกนิลุบล  พระรัศมีงามยิ่งกว่าดอกไม้ป่า ก่อให้เกิดความยินดี ยิ่งกว่าแสงแห่งพระจันทร์วันเพ็ญ พระองค์ทรงลึกซึ่งยิ่งกว่ามหาสมุทร มั่นคงยิ่งกว่าขุนเขา เจิดจ้ายิ่งกว่าพระอาทิตย์ พระพุทธดำเนิน  เป็นสง่ายิ่งกว่าพญาราชสีห์ยาม ทอดทัศนา ก็สงบยิ่งกว่า อุสุภราช พระสรีระทอแสงออกดังทองธรรมชาติ  ดวงจิตของพระอุปคุตเปี่ยมไปดัวยปีติจนไม่อาจกำหนดได้ 
       ดังท่านออกอุทานว่าผลแห่งกรรมดีมีรสอันหวาน  เพราะเกิดเจตนาอันบริสุทธ์รูปกายนี้เกิดมาแต่กรรมหาใช่ โดยอิทธิฤทธิ์หรือด้วย อุบัติเหตุไม่ แต่ด้วยอำนาจแห่ง ทาน ศีล สมาธิ และปัญญา พระพุทธเจ้าย่อมบริสุทธิ์  ทั้งกาย วาจา และใจด้วยพระบารมีทั้งหลายนี้แล เป็นเหตุให้พระกายอันวิสุทธิ์นี้เกิดขึ้น เป็นเหตุให้มนุษย์ได้ทอดทัศนาอย่าง  ปิติปราโมทย์  แม้ปุถุชนยังเกิดความยินดี เป็นที่ยิ่งแล้ว อาตมาเล่าจะเกิด 
      ความรู้สึกถึงเพียงไหน โดยที่ท่านพระอุปคุตมุ่งอยู่ที่   พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จนลืมข้อตกลงกับพญามาร  นึกไปว่ารูปนี้เป็น องค์พระพุทธเจ้าจริงๆ จึงก้มองค์ลงไปแทบเท้า พญามารดุจดังต้นไม้ค่อยๆล้มลงเป็นเหตุ ให้พญามารตกใจมาก ถึงกับกล่าวว่า อย่าพระคุณเจ้าอย่าลืมข้อตก   ลงพระเถระเจ้าถามว่าข้อตกลงอะไรกันพญามารตอบว่า  พระคุณเจ้า สัญญามิใช่หรือว่าจะไม่ก้มลงแสดงความคารวะต่อหน้าข้าพเจ้า ลำดับนั้นพญามารได้ทำให้พระรูปกายของพระพุทธเจ้าปลาสนาการ และก้มลงถวายอภิวาท แสดงความเคารพต่อท่าน พระอุปคุตมหาเถระเจ้าแล้วจากไป
        ครั้นวันที่สี่พญามาร ได้ประกาศด้วยตนเองว่า ผู้ใด ต้องการเสวยสุขในสวรรค์ และต้องความหลุดพ้น ขอให้ไปฟังธรรมจาก ท่านพระอุปคุตนั้นเถิดพร้อมทั้งพรรณนาว่าผู้ใดต้องการพ้นไปจากความจน และเข้าถึงความเจริญ  ตลอดจนถึงโลกุตรธรรมขอให้ตั้งใจฟังธรรมด้วยความ ศัรทรา  อันพระอุปคุตเถระเจ้าแสดงเถิด
       ข่าวได้แพร่ไปทั่วนครมถุราว่า ท่านพระอุปคุตได้ปราบพญามารจนหันเข้ามาสู่พระพุทธศาสนาแล้ว ทุกคนพากันไปหาท่านพระอุปคุตครั้นพราหมณ์เป็นแสนๆ คนประชุมกัน พระเถระเจ้านั้นดุจดังพญาราชสีห์ หามีความสะทกสะท้านไม่ ขึ้นนั่งบนสีหบัลลังก์  เมื่อพระอุปคุตเถระเจ้า 
       แสดงอนุปุพพิกถาแล้ว ก็ได้แสดงพระอริยสัจต่อไปบรรดาหมู่เทวดา และมนุษย์ทั้งหลายจำนวนหลายแสนที่ได้  ฟังพระธรรมเทศนา ต่างพากันหยั่งรากลงในนาบุญอันจะนำไปสู่วิโมกข์ธรรม ความหลุดพ้น บ้างก็ได้อนาคามีผลบ้างก็ได้สกิทาคามีผล บ้างก็ได้บรรลุพระโสดาบัน ท้ายที่สุดชนหมื่นแปดพันคน ได้รับอุปสมบทเป็นพระภิกษุในบวรพระพุทธศาสนา หลังจากปฏิบัติธรรมได้ไม่นานก็ได้บรรลุอรหัตผล
      ที่ภูเขาอุรุมุณฑะนั้นมีถ้ายาว ๑๘ ศอกกว้าง ๑๒ ศอก  พระอุปคุตกล่าวกันว่า พระภิกษุที่มาปฏิบัติธรรม จนได้สำเร็จมรรคผล ณที่นั้นว่าขอให้ท่านที่ได้ฟังธรรมจากข้าพเจ้า และเอาชนะกิเลสอาสวะได้แล้ว
เข้าถึง พระอรหัตผล  จงโปรดโยนไม้ยาว ๔ นิ้วลงไปในถ้ำเถิด ในวันนั้น  พระอรหัตผลทั้งแปดหมื่นสี่พันรูป ได้โยนไม้ยาว ๔ นิ้วลงไปในถ้ำ ชื่อเสียงเกียรติคุณของท่านพระอุปคุตได้แพร่ขยายไปจนจรดฝั่งมหาสมุทร                                                           
      สมดังคำพุทธพยากรณ์  ที่พระพุทธเจ้า ทรงตรัสไว้ว่า ในนคร มถุรานี้ จักมีภิกษุชื่อว่า อุปคุตได้เป็นเอตทัคคะในทาง  แสดงธรรม และช่วยกอบกู้พระศาสนาด้วยประการฉะนี้เรื่องราวของพระอุปคุตเมหาเถระเจ้า ปรากฏตามนัย
       ปฐมสมโพธิกถาปริจเฉท ที่ ๒๘ มารพันธะปริวรรต เพียงเท่านี้  แต่ในอโศกาวะทาน เป็นคัมภีร์ภาษาสันกฤตที่เก่าแก่อายุราว สองพันปี ได้ปรากฏเรื่องราวของท่านพระอุปคุตเถระ ที่อาจมีความพิสดารและมีข้อแตกต่างจาก พระปฐมสมโพธิกถาบ้างดังนี้  และข้อความในพระสูตรมีว่า  ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วดังนี้ว่าเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับ    กรุงสาวัตถี  
      ดังนั้นขอให้เรารำลึกถึง  พระพุทธพจน์   ที่ช่วยให้ดวงจิตของเทวดา  และมนุษย์ทั้งหลายสว่างขึ้น    ท่ามกลาง  แห่งบรรดา พระเถราจารย์เจ้าของเราทั้งหลาย พระพุทธดำรัส ที่หลั่งออกมาจากพระโอษฐ์นั้น ดุจดังมหาเมฆกลายสภาพโปรยปรายเป็นสายฝน  เพื่อชำระล้างความโสโครก อันก่อตัว ขึ้นจากโคลนตม ซึ่งได้แก่ราคะโทสะโมหะ  อวิชชา ให้หมดสิ้นไป คำสอนของพวกเดียรถีย์
       ก็ปลาสนาการไปด้วยแสงแห่ง ปัญญาอันเกิดจากงานนิพนธ์ของพระอาจารย์เจ้าเหล่านั้น ซึ่งรจนาไว้ทั้งในทาง   ไวยากรณ์คัมภีร์และตำราอื่นๆ โดยที่ท่านเหล่านั้นได้ดื่มน้ำอันบริสุทธิ์ คือพระสัทจะธรรมอันวิเศษ  บรรลุซึ่งโลกุตรธรรมอันบริสุทธิ์หากท่านผู้ใด มีความต้องการที่จะสักการบูชาพระอุปคุตมหาเถระเจ้า  ทั้งพระคาถาและรูปเคารพ หรือพระเครื่องพระบูชารูปหล่อๆ
       พระคาถาบูชาพระอุปคุต นะโม 3 จบ                                  
  อุปคุตโต จะ มหาเถโร   สัมพุทเธนะ วิยากะโต
มารัญจะ มาระพลัณจะ    โส อิทานิ  มหาเถโร
นมัสสิตวา ปะติฏฐิโต      อหัง วันทามิ  อิทาเนวะ
อุปคุตตัง จะ มหาเถรัง      ยังยัง อุปัททะวัง ชาตัง
วิเธเสติ   อะเสสะโต         มหาลาภัง  ภะ วันตุ  เม
       พระคาถาบูชาพระอุปคุตว่า นะโม ๓ จบ
ภาวนา ๓จบ ๕ จบ ๕ จบ ๗ จบ ๙ จบหรือว่างเมื่อไรก็ภาวนายิ่งมากยิ่งดี
                
                   พระคาถาพระอุปคุตผูกมาร       
   มหา อุปคุตโต  มหาอุปคุตตัง   กายะพันทะนังอยิสะพุทธัง  ทะเถโร ธัมมัง  ทะเถโร  สังฆัง  ะเถโร ปะอัยยะสุตัง อุปัจสะอิ  อิมังกายะ พันทะนัง  อะธิถามิ                                                                   
      คาถาพระมหาอุปคุตผูกมาร มีอานุภาพศักดิ์สิทธิ์มาก  เสกด้ายสายสิญจน์ ทำเป็นมงคลสวมคอหากปลุกเสก ๑๐๘   จบ สามารถป้องกันภูตผีปีศาจ ทั้งปวงและป้องกันอันตรายต่างๆนาๆ ถ้าปลุกเสก ๓-๗ คาบ ผูกคอ หรือ คล้องคอคนถูกผีเจ้าเข้าสิง อยู่จะเจ็บปวดร้องครวญคราง โหยหวน  อย่างหน้าเวทนา  ถ้าจะให้ผีที่สิงอยู่ออกไปให้ถอด หรือแก้ด้ายผูกคอ ออก แล้วเอา ด้ายนี้ตี ปัดไปตามตัว คนที่ถูกผีสิง  อยู่นั้นผีจะอยู่ไม่ได้ จะเผ่นออก และไม่กล้ากลับมารบกวนคนในบ้านอีกเลย
     คาถาพระมหาอุปคุต ผูกมารนี้ ยังมีอุปเท่ห์อีกมากมาย  ใช้ปลุกเสกในทางพุทธเวช  และพิชิตโรคาพาธได้วิเศษนัก  สวดเป็น ประจำทุกวันยังสามารถส่ง เสริมในด้านโชคลาภ  วาสนาดียิ่งนักนอกจาก

                                                                             คำนำ
       การเขียนประวัติพระอุปคุตมหาเถระเจ้าผู้มากด้วยบารมี  ข้าพเจ้าวิชุประภาเขียนขึ้นด้วยบูชาคุณพระมหาเถระเจ้า  ผู้รับหน้าที่ตั้งแต่ไม่เกิด เพื่อมาปราบพญามาร เพราะเป็นหน้าที่ของท่าน ที่มีกับพญามาร แต่อดีตชาติ  จนชาติสุดท้ายของท่าน เช่นมนุษย์เราทุกผู้ทุกนาม ทุกตัวตนไม่ว่ายากดีมีจนหรือร่ำรวย ชายหรือหญิง ล้วนมีหน้าที่ทุกคนเช่นบิดามารดา  ท่านเลี่ยงเรามา เราก็ต้องมีหน้าที่เลี่ยงตอบแทนท่านเช่นเดียวกันพระอุปคุตมหาเถระเจ้า ทำไมจะต้องเป็นผู้มาปราบพญามาร ให้ละฐิถิ ในครั้งนั้น พระอรหันก็มีมาก หนังสือเล่มนี้ ได้ลองหาเหตุผลมาพิจารนาดูกัน แล้วท่านผู้อ่านละเห็นว่าเป็นอย่างไรหนังสือเล่มนี้อาจจะผิดไปก็ต้องขออภัยมานะที่นี้  ผมไม่ใช่นักเขียนมืออาชีพ
      สุดท้ายนี้ขอท่านผู้ปรารถนาถึง พุทธัง ธัมมัง สังฆัง เป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง จงมีสุขทุกท่าน
                                                                                                                                 สวัสดี
                                                                                                                                วิชุประภา



                                          










ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น