ผมได้รู้จักพระอาจารย์ท่านหนึ่งเป็นผู้เคร่งในพระธรรมวินัยชอบอยแต่ ในป่า ผมมีโอกาสได้รู้จักกับท่านเพราะเพื่อนแนะนำให้รู้จัก ท่านเป็นศิษย์ของหลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดร และตอนนั้นปี 47 ท่านกำลังสร้างรูปหล่อหลวงปู่พระครูเทพโลกอุดร จนแล้วเสร็จในปีนั้นที่วัดผ่องพลอย สุขุมวิท105 ซอยลาซาลแขวงบางนาเขตบางนากทม. ผมมักจะไปสนทนาํธรรมกับท่านหลังเลิกขายของแล้ว คืนหนึ่งผมได้สนทนากับท่านหลายเรื่อง และมีอยู่เรื่องหนึ่งท่านสอนธรรมให้ผมใช้สติต่อการปฏิบัติทุกเวลา ท่านได้ถามขึ้นว่า ใหนโยมลองมองฝ่าความมืดออกไปข้างนอกซิว่า เราเห็นอะไรบ้าง ผมก็หันไปมองตามที่ท่านบอก ผมก็ตอบท่านไปว่า ก็เห็นแต่ความมืดและแสงไฟฟ้า ท่านบอกว่าตอบอย่างนั้นมันก็ถูก แต่จริงๆมันไม่ใช้ ท่านบอกผมว่า เมื่อหนึ่งชั่วโมงที่แล้วเห็นหรือเปล่า นั้นคืออดีตที่ทุกคนทิ้งความวุ่นวายเอาไว้ ถ้าเราย้อนเวลาไปได้เราก็จะเห็น การกระทำของเราที่ไม่มีสติ ก่อนที่จะทำผิดชอบชั่วดี ตามใจตนเองโดยไม่ยั้งคิด จึงมีคนได้รับผลกระทบจากเราผู้กระทำ ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม
หรือในด้านการฝึกจิตและภาวนา เราจะเห็นจิตอันวุ่นวายสับสนของทุกผู้ทุกนาม ทั้งโลภโกรธหลงแย่งชิงล้วนเห็นประโยชน์ส่วนตนเป็นใหญ่ ทิ้งเอาไว้เมื่อเวลาที่ผ่านมา มีทั้งผู้ที่มีความสุขและความทุกข์หลากหลาย หลายภพชาติหลายชาติของแต่ละบุคคล ก็จะมีอย่างนี้ไม่จบ จนกว่าเราจะเห็น
อนิจจัง ความไม่เที่ยง
ทุกขัง เป็นทุกข์
อนัตตา ไม่มีตัวตน
นี่คือธรรมะที่ท่านสอนผมในคืนนั้น เหมือนเราย้อนดูหนังดูละครให้เราย้อนดูตัวเอง สรุปก็คือสติจะต้องพิจารนาความไม่เที่ยงของกายสังขารของเรานั้นเอง นี่คือธรรมะที่ท่านสอนผมให้เห็นภพเห็นชาติ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น