วันอังคารที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2554

คัมภีร์มหาวรรค

                                                     คัมภีร์มหาวรรค         
                                                          ภาค ๑
                                                 (พระไตรปิฏก เล่ม ๔)
                                             วรรคใหญ่ ภาค ๑ มี ๔ขันธ์
                                                     ๑. มหาขันธ์กะ
                             หมวดใหญ่ ว่าด้วยการณ์ในสมัยที่พุทธองค์ตรัสรู้ใหม่ๆ
                                          ทรงมนสิการปฏิจจสมุปบาท
    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสรู้ใหม่ๆ ประทับ ณ โคนไม้โพธิริมฝั้งแม่นํ้าเนรัญชรา ในตำบลอุรุเวลา พระองค์ประทับนั่งเสวยวิมุตตอสุข ณ โคนไม้โพธิตลอด ๗ วัน ในปฐมยามแห่งราตรี ทรงพิจารนาปฏิจจสมุปบาทธรรมที่เกิดขึ้นและดับไปเพราะอาศัยเหตุปัจจัยโดยอนุโลมและปฏิโลม  แล้วทรงเปล่งอุทานว่า เมื่อธรรมปรากฏ แก่พราหมณ์ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่เขาย่อมสิ้นความสงสัย เพราะรู้ธรรมพร้อมทั้งตนเหตุ ในเวลามัชฌิมยามแห่งราตรี ทรงพิจารนาปฏิจจสมุปบาทโดยอนุโลมและปฏิโลมแล้วทรงเปล่งอุทานว่าเมื่อธรรมปรากฏแก่พราหมณ์ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่ เขาย่อมสิ้นความสงศัย เพราะได้ทราบถึงความสิ้นไปแห่งปัจจัย ในเวลาปัจฉิมยามแห่งราตรีทรงพิจารนา ปฏิจจสมุปบาททั้งโดยอนุโมลตามลำดับและโดยปฏิโลมย้อนลำดับแล้วทรงเปล่งอุทานว่า เมื่อธรรมปรากฏแก่พราหมณ์ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่ พราหมณ์นั้นย่อมกำจัดมารพร้อมเสนาเสียได้ ดั่งดวงอาทิตย์ทำท้องฟ้าให้สว่างฉะนั้น.
                           ทรงโต้ตอบกับพราหมณ์ที่ชอบตวาดคน
    เมื่อครบ ๗ วันแล้ว ทรงออกจากสมาธินั้นเสด็จจากโคนโพธิ ไปยังไม้อชปาลนิโครธ ต้นไทรที่เด็กเลียงแพะชอบมาพัก ประทับนั่งเสวยวิมุตติสุข ณ โคนนั้นตลอด ๗ วัน มีพราหมณ์ตวาดคนมาเฝ้ากราบทูนถามถึงธรรมะที่ทำคนให้เป็นพราหมณ์ ทรงเปล่งอุทานเป็นใจความว่า ผู้ที่จะนับว่าเป็นพราหมณ์ คือผู้ลอยบาป ไม่มักตวาดคนอื่น ไม่มีกิเลสเหมือนนํ้าฝาด สำรวจตน มีความรู้จบเวท อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ไม่มีความเย่อหยิ่ง.
                                  ทรงเปล่งอุทานที่ต้นจิก 
    ครั้นครบ ๗ วัน แล้วทรงออกจากสมาธินั้น เสด็จจากโคนไม้อชปาลนิโครธไปยังต้นจิก ประทับนั่งเสวยวิมุตติสุข ณ โคนไม้จิกนั้น ตลอด ๗ วัน ได้เกิดเมฆใหญ่ผิดฤดูกาลมีฝนพรําเจือด้วยลมหนาว ตลอด ๗ วัน พญานาคชื่อมุจลินท์ มาวงขนดรอบพระกายของพระผู้มีพระภาค ๗ รอบ เพื่อป้องกันหนาวร้อนเหลื่อบยุงเป็นต้น ทรงเปล่งอุทานปรารภสุข ๔ ประการ คือ สุขเพราะความสงัด สุขเพราะไม่เบียดเบียน สุขเพราะปราศจากราคะก้าวล่วงกามได้ และสุขอย่างยอดคือการนำความถือตัวออกได้
                                 เหตุการณืที่ต้นเกต
     ครั้นครบ ๗ วันทรงออกจากสมาธินั้น เสด็จจากโคนไม้จิกไปยังไม้ราชายตนะ(ต้นเกต)ประทับนั่งเวสยวิมุตติสุข ณ โคนยเกตนั้นตลอด ๗ วัน มีพ่อค้าสองคนชื่อ ตปุสสะ กับ ภัลลิกะ เดินทางมาจากอุกละชนบท ถวายข้าวสัตตุก้อนและสัตตุผง ทรงรับด้วยบาตรที่ท้าวจตุมมหาราชถวาย แล้วเสวยข้าวนั้น พ่อค้า๒ คนปฏิญญาตนเป็นอุบาสกถึง พระพุทธ พระธรรมเป็นสรณะ นับเป็นอุบาสกชุดแรกในโลกที่เปล่งวาจาถึงรัตนะ ๒ (คือ พระพุทธ พระธรรม).
                                 เสด็จกลับไปที่ต้นไทรอีก
     ครั้นครบ ๗ วัน แล้ว ทรงออกจากสมาธินั้น เสด็จจากโคนไม้เกตไปยังต้นไทรที่เด็กเลี่ยงแพะชอบมาพัก(อชปาลนิโครธ) และประทับ ณ โคนไม้ไทรนั้น ทรงพิจารนาเห็นว่า ธรรมที่พระองค์ตรัสรู้ ลึกซึ้ง ยากที่คนอื่นจะตรัสรู้ตามได้ กล่าวคือ หลักอิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท แม้ฐานะคือ ความสงบแห่งสังขารทั้งปวง ความสิ้นตัณหา วิราึคะ นิโรธนิพพาน ก็เป็นสิ่งเห็นไ้ดยาก ทรงน้อมพระหฤทัยไปในทางที่จะไม่แสดงธรรม.
                               พระพรหมมาอาราธนา
     ท้าวสหัมบดีพรหมทราบพุทธดำริ จึงมาเฝ่ากราบทูลอาราธนาให้ทรงแสดงธรรม อ้างเหตุผลว่าผู้ที่มีกิเลสน้อย  พอจะรู้พระธรรมได้มีอยู่ พระผู้มีพระภาคทรงพิจารนาสัตว์เปรียบด้วยดอกบัว ๓ ชนิด คือที่อยู่ใต้นํ้า เสมอนํ้า และโผล่พ้นนํ้า อันเปร๊ยบด้วยบุคคล ๓ ชนิด ที่พอจะตรัสรู้ได้ จึงทรงตกลงพระทัยที่จะแสดงธรรม ทรงปรารภอาฬารดาบส กาลามโคตร ก็ทรงทราบว่าถึงแก่เสีย ๗ วันแล้ว ทรงปรารภอุทกดาบส รามบุตร ก็ทรงว่าถึงแก่กรรมเสียเมื่อวานนี้เอง จึงตกลงพระหฤทัย เสด็จไปแสดงธรรมโปรดปัญจวัคคีย์ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ระหว่างทางทรงพบอุปกาชีวก ได้ตรัสโต้ตอบกับอาชีวกนั้น แต่อุปกาชีวกนั้นไม่เชื่อ.
                            ทรงแสดงธรรมครั้งแรก
     เมื่อเสด็จถึงป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงกรุงพาราณสีแล้ว ครั้งแรกปัจจวัคคีย์เหล่านั้นแสดงอาการกระด่างกระเดื่อง แต่เมื่อทรงเตือนให้นึกถึงว่าเมื่อก่อนพระองค์ ไม่ตรัสบอกเลยว่าตรัสรู้ บัดนี้ตรัสบอกแล้ว จึงควรตั้งใจฟัง ก็พากันตั้งใจฟัง พระผู้มีพระภาคจึงทรงแสดงธัมจักกัปปวัตตนสูตร มีใจความสำคัญคือ
     ๑. ทรงชี้ทางผิดอันได้แก่กามสุขัลลิกานุโยค(การประกอบตนให้ชุ่มอยู่ด้วยกาม) และอัตตกิลมถานุโยค(การทรมานตนให้ลำบาก) ว่าเป็นส่วนสุดโต่งที่บรรพชิตไม่ควรดำเนิน แล้วทรงแสดงมัชฌิมาปฏิปทา(ข้อปฏิบัติสายกลาง)ได้แก่มรรคมีองค์ ๘ ที่พระองค์ตรัสรู้แล้ว อันไปเพื่อพระนิพพาน.
     ๒. ทรงแสดงอริยะสัจ ๔ คือ ทุกข์ เหตุให้ทุกข์เกิด ความดับทุกข์และข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ โดยละเอียด.
     ๓. ทรงแสดงว่าทรงรู้อริยสัจ ๔ ทรงรู้หน้าที่อันควรทำในอริยสัจ ๔ และรู้ว่า ได้ทรงทำหน้าที่เสร็จแล้ว จึงทรงแน่พระหฤทัยว่า ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว(อันแสดงว่าทรงปฏิบัติจนได้ผลด้วยพระองค์เองแล้ว) เมื่อจบพระธรรมเทศนา ท่านโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรม และได้ข้อบวช ต่อมาท่านวัปปะ ท่านภัททิยะ ท่านมหานามะและท่านอัสสชิ สดับพระธรรมเทศนา ได้ดวงตาเห็นธรรมตามลำดับ และได้ขอบวข เป็นอันได้ขอบวชครบทั้ง ๕ ท่าน
                         ทรงแสดงอนัตตลักขสูตร
     ต่อจากนั้น พระผู้มีพระภาค จึงทรงแสดงอนัตตลักขสูตรแก่ภิกษุปัจจวัคคิย์นั้น มีใจความสำคัญคือ
     ๑. รูป  เวทนา  สัญญา  สังขาร  และวิญญาณ ไม่ใช่ตน ถ้าเป็นตนก็จะบังคับบัญชาให้เป็นอย่างนี้ไม่เป็นอย่างนั้นได้ ฉะนั้นจึงเป็นไปเพื่อป่ายอาพาธ เพราะไม่ใช่ตนจึงบังคับบัญชาไม่ได้.
     ๒. แล้วตรัสถามให้ตอบเป็นข้อๆ ไปว่า ขันธ์ ๕ เที่ยงหรือไม่เที่ยง ตอบว่าไม่เที่ยง สิ่งที่ไม่เที่ยงเป็นทุกข์หรือเป็นสุข ตอบว่าเป็นทุกข์ สิ่งใดไม่เที่ยงเป็นทุกข์มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ควรหรือที่จะตามเห็นว่านั่นของเรา เราเป็รนั่น นั่นเป็นตัวตนของเรา ภิกษุปัจจวัคคีย์เหล่านั้นตอบว่าไ่ม่ควร.
     ๓. ตรัสสรุปว่าเพราะเหตุนั้น ควรเห็นด้วยปัญญาอันชอบว่า รูปเป็นตนทุกชนิดไม่ใช้ของเรา เราไม่ได้เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา.
     ๔. ตรัสแสดงผลว่า อริยะสาวกผู้เห็นอย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายในรูปเป็นตนนั้น เมื่อเบื่อหน่ายก็คลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัดจึงหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นก็รุ้ว่าหลุดพ้นแล้ว รู้ว่าสิ้นชาติอยู่จบพรหมจรรย์ทำหน้าที่เสร็จแล้ว ไม่ต้องทำหน้าอะไรเพื่อควาเป็นอย่างนั่นอีก ภิกษุปัจจวัคคีย์มีจิตหลุดพ้นจากอาสวะไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน ครั้งนั้น มีพระอรหันต์เกิดขึ้น ๖ องค์

วันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2554

การอุทิศบุญ และ การมลายมนต์อาคม

  ในยุคปัจจุบันนี้วงการพระเครื่องมีมากมายที่เข้ามาวงการนี้ทั้งที่ศึกษาอย่างจริงจังและไม่จริงจังคือเอาแต่ฟังผู้อื่นโดยไม่หาข้อมูลและเชื่อตามที่ได้ยินได้ฟังมา ก็ไปหามาบูชาเพื่อให้ตนเองมีลาภสักการะแลมีโชคมีลาภ ค้าขายดีมีกำไลมากๆ จึงทำให้ผู้คงแก่เรียนในวิชาคาถาอาคมทั้งฆาราวาส และ ภิกษุได้ต่างกันออกวัตถุมงคลและเครื่องลางของขลังกัน แต่พอได้มาแล้วกับเก็บรักษาและบูชาในสถานที่ไม่เหมาะสมเช่นเอาวิญญาณหรือกุมารไปไว้รวมกันไม่แยกเป็นส่วนๆตามแผงพระจึงนำมาเพื่อให้ผู้คนได้เสาะหามาบูชาเพื่อช่วยในด้านต่างๆทั้งค้าขาย เมตตามหาเสน่าห์ คงกะพันชาตรี จึงทำให้ผู้มีอาคมเรียกวิญญาณเข้ามาผูกมัดไว้ใน เครื่องลางของ ขลังต่างๆมากมาย ดวงวิญญาณบางดวงก็เต็มใจบางดวงก็ไม่เต็มใจ ยกตัวอย่างเช่น เอากุมารไปไว้รวมกับพระเครื่อง ซึ่งบารมีพระเครื่องจะสูงกว่ากุมาร จึงทำให้กุมารต้องแทบทนไม่ไหวและก็ไม่เคยให้กินหรือทำบุญให้เลย ถ้าเกิดมีคนมาเช่าไปบูชาแต่ไม่เคยทำบูญให้อีก เขาก็ไม่ต่างอะไรกับติดคุกเลยแล้วเราจะไปขอให้เขาช่วยในเรื่องต่างๆย่อมเป็นไปไม่ได้เลย เหมือนเราไม่ได้กินข้าวแล้วเราจะเอาแรงที่ไหนมาทำงานให้ล่ะ แล้วเราก็โทษว่าเครื่องลางไม่ขลังไม่ดีก็ต้องพยายามไปหามาใหม่อยู่ตลอด แต่ถ้าเราหมั่นทำบุญอุทิศให้แก่ทุกดวงจิตและวิญญาณที่อยู่กับวัตถุมงคลบ่อยๆจะทำให้เขามีบุญมากเมื่อเขามีบุญมากเขาก็จะช่วยเราส่งเสริมเราให้เราค้าขายดีกิจการรุ่งเรืองมากขึ้น รวมทั้งพระเครื่องและวัตถุมงคลเครื่องลางของขลัง ที่มีผู้มีอาคมผูกม้ดไว้ทั้งเต็มใจและไม่เต็มใจพระเตรื่องตามแผงพระทั่วไปก็จะมีทุกดวงจิตและวิญญาณมาทำตามหน้าของตนที่ได้รับมอบหมายมากับเจ้าของนั้นๆอยู่แล้ว เมื่อเปลี่ยนเจ้าของใหม่ ผู้รักษาคนเดิมก็จะหมดวาระและก็จะมีท่านใหม่มาแทน เทวดาบางท่านมีบุญมากอยู่แล้ว ก็จะมาช่วยดลบันดาลให้สมหวังดั่งใจผู้ครอบครอง แต่บางท่านบุญยังไม่มากพอ หรือกำลังยังที่มีอยู่ก็ไม่สามารถช่วยเจ้าของเลยก็เหมือนคนไม่กินข้าวนั่นเเหละ จะเอากำลังที่ไหนมาช่วยได้เรา ต้องหมั่นทำบุญให้เทวดาประจำพระเครื่อง และเครื่องลางของขลัง และที่ลืมไม่ได้ก็เทวดาประจำตัวเราพระท่านบอกว่าอย่างน้อยมีสององค์ ต้องหมั่นทำบ่อยๆ พระท่านสอนว่าเวลาเราทำบุญอะไรไม่ว่าจะเป็นการไส่บาตรหรือหยอดตู้บริจากตามที่ต่างๆ ท่านบอกว่าขณะที่เราไส่บาตรของหลุดจากมือเราลงในบาตร ให้เราอุทิศทันทีโดยการคิดว่า บุญนี้อุทิศให้เทวดาประตัวเรา หรือบุญนี้อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรที่มาถึงตัวข้่าพเจ้าในวันนี้ ทุกครั้งที่ของหลุดจากมือเราให้รีบส่งบุญทันที หรือถ้าเราต้องการให้บุญของเราเพิ่มมากขึ้นพระท่านสอนว่าต้องอาศัย กำลังของพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ โดยว่าอย่างนี้ ขออำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ โปรดดลบันดาลผลบุญของข้าพเจ้านี้ให้กับเทวดาประจำตัวข้าพเจ้าทั้งหมด หรือจะเปลี่ยนเจ้ากรรมนายเวร จะเปลี่ยนเป็นเทวดาประจำพระเครื่องของเราทั้งหมด ถ้าเป็นกุมารก็ให้บอกชื้อที่เราตั้งให้ เขาจะได้รับบุญมากและช่วยเราได้เร็วขึ้น  การอุทิศบุญนี้พระท่านแนะนำสั้งสอนศิษย์ให้นำไปใช้ดู ส่วนเรื่องการมลายมนต์อาคมที่ผู้มีอาคมผูกมัดดวงวิญญาณไว้กับพระเครื่องและเครื่องของขลังต่างๆโดยเพฉาะกุมารพวกเขาลำบากมากถูกผู้มีอาคมเรียกมาใช้งานแต่ก็ไม่เคยให้กินอะไร เพราะได้มีผู้นำไปวางจำหน่ายตามแผงพระต่างๆดวงวิญญาณที่ถูกนำไปผูกมัดกับพระเครื่องต่างๆและเครื่องลางของขลังเขาจะลำบากมาก ผมได้บทความมาหนึ่งฉบับจากหนังสือที่ผมอ่านเป็นประจำ เห็นว่าหน้าสนใจดี  (พุทธามหาเวท ในเล่มผู้เขียนชื่อคนธรรมดาประสบการณ์วิญญาญและการอุทิศบุญ)
   ในเวลาที่ผมเดิมไปไหนมาไหน ผมมักจะชอบเบิดบุญเช่นเดียวกับคุณคนธรรมดา ที่ผมเขียนถึงบทความของเขา ยามว่างเขาจะชอบเดินไปตามแผงพระเครื่องต่างๆเผื่อพบพระเครื่องที่ถูกใจจึงได้เช่าหามาเก็บสะสม ในขณะที่เดินดูไปผมก็อุทิศบุญแจกทั่วๆปรากฏว่าพอกลับถึงบ้าน ปรากฏว่ามีวิญญาณเด็กๆตามมา ตกคํ่าเลยเรียกมาคุยกัน   เขา.  หนูเป็นใคร ตามมาทำไม?  วิญญาณเด็ก. หนูเป็นกุมารทอง อยู่ที่ขวด เขาเอามาขาย พอได้รับบุญเลยมีกำลังหลุดจากขวดเลยตามมาขออยู่ด้วย  เขา. ตามใจยากอยู่ด้วยกันก็ได้ แต่ที่นี่มีแต่ให้บุญนะไม่มีเครื่องเซ่นให้  วิญญาณเด็ก. หนูได้บุญก็อิ่มแล้ว ขออยู่ด้วยคนนะ ที่นี่มีแต่คนใจดี  เขา. เมื่อก่อนอยู่กับใครล่ะ  วิญยาณเด็ก. อยู่กับคนแก่ เขาขายมา เลยถูกเอาวางขายที่แผงพระ เอาวางปนกับพระ หนูร้อน  ไม่เคยให้อะไรหนูกินเลย หิวมากหนูขออยู่ด้วยนะ
   ตกลงผไปแผงพระทีไร มีเด็กๆ และวิญญาณที่สิงสถิตอยู่ตามวัตถุมงคล แ้แต่พระเครื่องบางองค์ ผู้มีอาคมเอาวิญญาณผูกเอาไว้ อย่างพระพลายเพชรพลายบัว ที่เป็นรูปคล้ายพระขุนแผน 2 องค์คู่ติดกันนั่นแหละ ขังผีไว้ทุกองค์เลย ผู้สร้างหวังจะให้พระเฮี่ยน ตามผมกลับบ้านประจำ เพราะผมเดิมชมพระไปอุทศแจกบุญไปทั่ว ผมลองคุยกับเขาดูบ้างเป็นบางครั้ง
   คนธรรมดา : สวัสดีครับท่านติดตามกลับาบ้านผมทำไมหรือ?
   เทวดา : เราได้รับคำสั่งให้ติดตามรักษาพระองค์นี้
   คนธรรมดา : ท่านอยู่กลับพระองค์นี้ตั้งแต่สร้างเลยหรือเปล่า?
   เทวดา : เราลงาอยู่ตอนที่เธอซื้อพระมานี่แหละ ผู้รักษาคนเดิมเขากลับไปข้างบนแล้ว
   คนธรรมดา : อย่างนี้ท่านก็ไ่รู้เรื่องประวัติพระองค์ที่ผมได้มานะ่ซิ?
   เทวดา : เราไม่รู้หรอก เพิ่งลงมาวันนี้เอง คืออย่างนี้ เมื่อมีการเปลี่ยนเจ้า เทวดาที่เฝ้าอยู่เดิมก็ถือว่าหมดหน้าทีกลับไปข้างบนได้เบื้องบนก็จะส่งผู้ดูแลใหม่ลงมา เข้าใจหรือยัง
   คนธรรมดา : รู้เรื่องที่บ้านผมหรือยัง?
   เทวดา : ตอนนี้คุยกับพวกที่อยู่เดิมรู้เรื่องแล้ว  เดี๋ยวช่วยกันตอนแรกสงสัยเหือนกัน มาบ้านนี้ทำไมผีเยอะจังงานนี้ลงมาไม่ขาดทุนแล้ว สงสัยจะได้บุญมากกว่าอยู่ข้างบนเสียอีก ถ้าเธอไ่ม่เอาพระติดตัวไป เราจะอยู่ข้างบนช่วยสอนวิญญาณนะ แต่ถ้าเธอเอาพระองค์นี้ติดตัวไป เราจะตามเธอไปด้วย
   คนธรรมดา : ตกลงครับ
   เทวดา : มีอยู่วันหนึ่ง ผมติดต่อช่วยวิญญาณกันอยู่ พวกของผมได้บอกว่าท่านผู้อยู่สูงสุดเบื้องบนต้องการให้ทำงานอย่างหนึ่ง คือ เวลาไปตามสนามพระช่วย (มลายมนต์) ที่ผู้มีอาคมผูกัดวิญญาณสัมภเวสีไว้ตามวัตถุที่ลงอาคมมัดไว้แน่นเขาไม่สามารถหลุดออกมาได้
  ผมเองก็สงสัย  ผมไม่ีมีคาถาอาคมและพลังจิตที่แรงกล้า จะไปมลายนต์หรือถอนล้างอาคมของผู้สร้างได้ จะให้ผมทำด้วยวิธีไหนกัน ก็ได้รับคำตอบว่า ให้เธอขอบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แผ่บารมีลงมามลายมนต์ซิ ตกลงผมเข้าใจแล้วครับ เพราะบารมีสูงสุดคือพุทธองค์
  พอผมมีโอกาสไปเดินเล่นตามสนามพระ ผมก็ยืนคิดอธิฐานเลย โดยไม่ได้พนมมือ เดี๋ยวคนอื่นเขาสงสัยว่าไอ้หมอนี่ัมันทำอะไร ผมอธิฐานอย่างนี้ครับ
  ขอบารมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โปรดแผ่บุญบารมีของพระองค์ท่านลงมามลายมนต์ที่ผูกมัดวิญญาณที่ไม่เป็นภัยกลับผู้ใดให้หลุดจากอาคมที่ผูกมัดด้วยเถิด...สาธุ
 ขณะอธิฐานจบ ผมก็พุ่งจิตทั่วบริเวณตลาดพระเครื่อง ผลปรากว่าพอตกคํ่าสำรวจผลงาน มีผู้ติดตามกลับมาเพียบเลย เมื่อเยอะมากเลยต้องขอบารมีของพระพุทธองค์นำส่งที่วัดป่าที่เพชรบูรณ์ เป็นอันหมดหน้าที่ ทุกวันนี้ผมเองก็ยังต้องทำอยู่ เพราะเป็นคำสั้งให้ปฏิบัติ
  ผมเคยกราบทูลถามว่า ที่ผมไปแอบถอนเอาวิญญาณออกจากวัตถุมงคลมิใช่การขโมยหรอกหรือ ได้รับคำตอบว่า วิญญาณเหล่านั้นถูกอาคมบังคับให้อยู่กับวัตถุที่สร้าง มิได้อยู่ด้วยความสมัครใจ เราช่วยเขาให้เป็นอิสระ ไม่ผิด เป็นอันว่าผมไม่ผิดศิลข้อ 2...สบายใจ
  มีวันหนึ่งผมไปธุระเดินผ่านตู้วัตถุมงคล เห็นกล่องใส่กุมารทองตัวเป็นโลหะ เรียงเป็นแถว ผมก็อุทิศให้เด็กๆเหล่านั้นเพราะรู้ว่า อยู่ในตู้เหล่านี้ไม่ได้กินอะไรเลย หิวมากอยู่แล้ว ปรากฏว่า เด็กตกราว 20 คนตามผมกลับบ้านหมด เขาบอกไม่อยู่แล้ว ทิ่งร่างโลหะเลย อยู่ไปก็อด ไม่มีอะไรให้กิน เลยขออยู่ด้วย
  ผมก็ไ่ว่าอะไร อยากมาอยู่ก็เอา...เต็มบ้านหมด แต่ไม่เปลืองที่ครับ แล้วผมผิดหรือเปล่าหนอ? ไม่ได้คิดให้ตามมาบ้านหรอก สงสารเลยเบิกบุญให้ไปเท่านั้น เด็กเหล่านั้นเดิมเป็นสัมภเวสีเร่ร่อนหาที่เกิดอยู่ถูกอาคมเรียกมาเข้าร่างกุมารทอง เลยเกิดเป็นเด็กกุมารนี่แหละ เห็นผมให้บุญเขาได้ เลยชวนกันตามมาขออยู่ด้วย
  ที่ผมขอบารมีพระพุทธองค์นี้ ทุกคนสามารถทำได้ เราเป็นชาวพุทธนับถือพระพุทธเจ้าสูงสุด เราขอบารมีท่านได้ เพื่อสงเคราะห์วิญญาณที่ถูกผูกมัดอยู่ให้เป็นอิสระ แม้แต่วิญญาณที่หมอผีส่งมาทำร้ายคนเราก็ใช้การขอบารมีมลายมนต์ที่บังคับผีนั้นให้หลุดได้ เสร็จแล้วเอาบุญให้ผีตนนั้นจนเขามีบุญ พ้นจากการถูกบังคับ 
  ห้ามเขาด้วย...อย่ากลับไปทำร้ายหมอผีนั้นให้เป็นบาปกรรมต่อกัน หมอผีเหล่านั้นถ้าเขาก่อกรรมไว้ เขาต้องลงไปรับกรรมที่นรกเองอยู่แล้ว หาพ้นมือพญายมราชไม่
  ถ้าถูกคุณถูกของที่ผู้มีอาคมเพ่งวัตถุจนเล็กเป็นผงแล้วปล่อยมาทางอากาศมาเข้าตัวผู้ใด ก็สามารถมลายมนต์อาคมพลังจิตนี้ได้ด้วยบารมีของพระพุทธองค์ได้
 อาจจะนำนํ้ามาหนึ่งขัน ตั้งหน้าพระพุทธรูปแล้วขอบารมีพระพุทธเจ้าให้แผ่บารมีลงในขันนํ้านี้เพื่อมลายมนต์ที่ถูกกระทำอยู่ และให้วัตถุนั้นหลุดออกจากร่างกายโดยไม่เป็นอันตรายกับร่างกาย แล้วนำนํ้านั้นดื่ม
 







วันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ชอบลองดีกับสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตา

     เรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับผมเมื่อปี 2532 ในช่วงนั้นข้าพเจ้าบวชเรียนที่ปราจีนบุรี หลังออกพรรษาปี2532 แล้วไม่นานข้าพเจ้าได้ไปอยู่ปราริวาสที่ วัดเกตุมวดี  มีพระไปอยู่ปฏิบัติธรรมรวมประมาณเกือบ 650 รูป อยู่ 9 วัน 9 คืน ในคืนที่ 4 ได้เกิดเรื่องแปลกกับผมหลังจากปฏิบัติธรรม และ ฟังคำบรรยาย ก็เกือบ 3 ทุ่มพระทุกรูปก็ต่างกันแยกย้ายที่พักของตน โดยปกติผมก่อนจะเข้าพักในกลดผมจะต้องสวดแผ่เมตตาต่อสรรพสัตวทั้งหลายก่อนทุกครั้ง ที่จะเข้ากลด ในขณะที่แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ที่มีพิษอยู่นั้น สายตาผมได้  มองเห็นสัตว์มีพิษตัวใหญ่ขนาดเอานิ้วมือนิ้วชี้กับนิ้วก้อยไปทาบดูจะประมาณนั้น ทุกท่านลองคิดดูนะครับว่าท่าถูกมันกัดเข้าจะเป็นอย่างไร ผมมองดูมันค่อยๆคลานผ่านตรง ธูปที่ข้าพเจ้าปลักดินไว้  เข้าป่ารอบๆ บริเวณนั้น ข้าพเจ้าอธิฐานบอกกล่าวเทพเทวา ที่อยู่บริเวณนั้นทุกองค์ช่วยปกปักรักษา และ ช่วยขับไล่สัตว์มีพิษที่คลานเข้าไปในกลดทั้งหมดออกมาข้างนอกเทอด และ นี่ก็คือสิ่งที่ข้าพเจ้ามีสำมาคารวะต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายให้ท่านช่วยดุแลเรา และนี่ก็อีกเรืองที่ชอบลองของกันจะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ จะต้องระวังให้มาก กลดของพระแต่ละองค์ จะห่างกัน 3-5 เมตร พระรูปหนึ่งอธิฐานขอชมบารมีเทพเทวาท่านที่อยู่บริเวณนี้ ท่านบอกผมว่าแค่ขอชมเท่านั้น หารู้ไม่วา่นี่คือการลองของและก็ได้ผลครับท่านในคืนนั้นหลังจากพระทุกรูปเข้ากลดทำกิจของตนแผ่เมตตาก็เข้านอน ท่านเล่าว่าพอนอนท่านก็ภาวนาไปด้วย
ประมาณเที่ยงคืน อยู่ก็เกิดเรื่องแปลกขึ้นอยู่ๆก็มีแสงประหลาดพุ่งลงมาจากท้องฟ้าทะลุลงมากลางกลดมาที่กลางตัวท่านอย่างจังท่านบอกว่ามันทรมานมาก ท่านดิ้นร้องให้ทุกท่านรวมผมช่วยทั้งๆที่บริเวณนั้นมีพระนับร้อยรูป ท่านบอกว่าหลุดออกมาได้ก็ตอนพระท่านมาตีระฆังให้สวดมนต์ตี 3 ทุกคืนและทำสมาธิจนตี5.30นาทีหลังจากนั้นก็มาพักผ่อนกันสบาย พระรูปนี้ที่อยู่ใกล้กันกับผมก็เล่ารายละเอียดให้ฟังดั่งที่กล่าวมา ผมจึงบอกท่านไปว่านี่ละ่คือการลองดีกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพเทวาท่านแค่มาเตือนแค่นั้นเองที่หลังอย่ามาลองดีอีกจะโดนหนักกว่านี้แน่ ตั้งแต่นั้นมาท่านไม่เคยทำอีกเลย
  ล้อเล่นกับโลกได้แต่อย่าล้อเล่นกับสิ่งที่เรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่ามันไม่สนุกแน่ครับ