วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2554

กฏแห่งกรรมหรือเจ้ากรรมนายเวร

     เพื่อความเจริญงอกงามแห่งปัญญา เจริญสติตั้งมั่น กรรมห่างไกล พุทธะบังเกิดชี้ทางนิพพาน เรื่องเจ้ากรรมนายเวรนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกัน นายพันโทพระยาพินิจสารา (ทับทิม บุญยรัตน์พันธุ์) ท่านได้รวบรวมและเรียบเรียงไว้ โดยสมเด็จพระพุทธโฆศาจารย์ วัดเทพศิรินทร์ทราวาส เห็นพ้องด้วยได้จัดพิมพ์ไว้ ให้เห็นบาปบุญคุณโทษของการทำบาปกรรมในปัจจุบัน เพื่อจะได้ละจากบาปและประพฤติปฏิบัติอยู่ในศิลในธรรม และมีเมตตากรุณาแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย
     เรื่องในหนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นนั้้นมีมากมาย ประมาณ ๘๐ เรื่อง แต่ขอนำบางส่วนมาเขียนให้อ่านเพียง ๑๐ กว่าเรื่องเท่านั้น ดังนี้ กรรมที่ปรากฏในปัจจุบัน
                                          กรรมเิกิดจากตอนวัว
     ชายคนหนึ่งชื่อนายคง อยู่บ้านศีรษะจระเข้ จังหวัดสมุทรปราการ มีอาชีพทำนา และ รับจ้างตอนวัวและควายพออายุ ๘๐ปี เขาก็ป่วยเป็นโรคประหลาด คืออัณฑะบวมโตและเป็นแผลเน่าเปื่อยอาการหนักเข้าทุกทีรักษาอย่างไรก็ไม่หาย ในที่สุด เพราะกรรมจากตอนวัว และควาย ลูกอัณฑะได้หลุดออกมาทนทุกข์เวทนาอยู่ได้ปีเศษ เขาจึงถึงแก่ความตาย ในที่สุดเพราะกรรมเิกิดจากการกระทำของตน ที่ได้ตอนวัวตอนควายตั้งแต่หนุ่มจนแก่ชรา จึงต้องทนทุกข์ ทรมานจนตาย

วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2554

บุญเกิดจากการโมทนา

    คนที่ตายไปแล้วมีผู้ฝึกสมาธิถอดจิตแล้วถามว่า (ทางมโนมยิทธิของหลวงพ่อฤาษีลิงดำได้ถามเทวดาท่านว่า) หลวงพ่อถาม : ทำความดีอะไรมาถึงได้ขึ้นสวรรค์
เทวดาตอบว่า : ตอนมีชีวิตอยู่ไม่ค่อยทำความดีเท่าไหร่ พอดีได้เปิดเทปหลวงพ่อฟังเทศนาในเทปได้กล่าวถึงบุญเิกิดจารการอนุโมทนา จากผู้ที่ได้ทำบุญถวายทานต่างๆ และถวายสังฆทานแค่นี้ก็ได้บุญแล้ว และอย่างตอนมีชีวิตอยู่ ความดีก็มี ความชั่วก็เยอะ แต่ตอนก่อนตายจิตยึดเกราะพระเครื่อง หลวงปู่ดู่แห่งวัดสะแก จ.อยุธยา ได้กล่าวไว้ว่าจิตได้เกราะพระเครื่องจึงได้ขึ้นสวรรค์ เพราะนึกถึงพุทธคุณจึงได้รับผลบุญก่อน แต่ถ้าประมาทหมดบุญเมื่อไหล่ นรกเป็นที่ไปแน่ แต่ตอนนี้ผมไม่ลงนรกแล้ว ขอหลวงพ่อโปรดเมตตาสอนหลักปฏิบัติภาวนาให้เหล่าพวกกระผม ได้ภาวนาด้วยเถิดกระผมไม่อยากลงนรกครับกระผมเพราะกระผมเห็นโทษของการเกิด ไม่แน่เกิดอีกทีอาจจะไปเกิดเป็นสัตว์นรกก็ได้ กระผมกลัว หลวงพ่อโปรดเมตตาด้วยครับ
   หลวงพ่อเมตตาสอนธรรมแก่ศิษย์ทั้งหลาย แม้บุญเพียงน้อยนิดก็อยากได้ดูแครนและกระทำด้วยจิตอันเป็นกุศลยิ่งดี
                          หลวงพ่อสอนให้มีสติ ความอยากจึงลดลง
   ทำไมเราจะต้องผูกมัดจิตใจของเรา ในทางความคิดและความคาดหวังว่า จะได้ จะมี จะเป็น ทำให้เป็นทุกข์เพราะอยากได้ไมมีขีดจำกัด จึงเกิดทุกข์อย่างมากมายนับตั้งแต่เกิดจนตาย เพราะไม่มีสติเป็นเข็มทิศชีวิตนั่นเองรวมลงที่จิตนั้นเอง เพราะจิตมันต้องการความสุขอย่างเดียว เพราะมันไม่ต้องการความลำบาก จึงทำให้เิกิดภพเกิดชาติมากมายนับชาติไม่ได้ ทุกชาติที่เกิดมีทั้งบุญ มีทั้งกรรมมากมาย จึงทำให้เิกิดความทุกข์ยากลำบากตลอดชีวิต บางคนไม่เคยทำบาปเลยได้แต่ทำบุญไม่เคยขาดเลย ทำไมจึงทุกข์มากจัง แล้วทำไมบุญจึงไม่ส่งผลเป็นเพราะอะไร เพราะถ้าเราทำสิ่งใดในวันนี้ จึงเป็นผลในวันหน้า กรรมชั่วในอดีต เป็นผลในวันนี้ ถ้าเรามีสติในวันนี้ ย่อมได้รับผลในปัจจุบันอย่างแน่นอนเพราะฉะนั้นการแก้ไขในอดีตมีอยู่ทางเดียว ทำบุญหนีบาปนั่นไง คือปฏิบัติสมาธิภาวนา ในทุกอิริยาบถ เช่น ยืน เดิน นั่ง นอนแม้ตอนเราพูดคุยอยู่ พอเราว่างก็ปฏิบัติภาวนาได้ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ บอกว่ามันเป็นกำไรชีวิตอย่างมากท่านบอกว่าทำบุญโดยไม่ต้องลงทุน ในด้านการเงินแม้แต่บาทเดียวเลย (ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลวงพ่อได้นำมาสอนศิษย์ จนเกิดผลอย่างมาก)
       

วันเสาร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2554

วิธีแก้กรรมให้ตนเองได้ผลเร็วยิ่งขึ้น

      เวลาที่ทำบุญทุกครั้งหรือทำความดีอะไร นอกจากจะทำบุญเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาแล้ว เช่น การใส่บาตร การถือศิล และอื่นๆ หรือการพูดคุยธรรมะ การช่วยให้ผู้อื่นสบายใจ ชี้แนะทางแก้ไขปัณหาชีวิต การทำสะอาดห้องพระ การถวายนำเปล่าเพียง ๑ แก้ว ให้กับหิ้งพระพุทธฯ การร่วมอนุโมทนาการทำความดีของผู้อื่น โดยการใช่จิตน้อมไปใทางบุญกุศล การกวาดใบไม้ วิหารลานพระเจดีย์ หรือทำสวน การทำความสะอาดห้องนํ้า หรือ จะของส่วนรวม ความที่มีจิตใจหรือตั้งใจดีทั้งหมด การดูแลคนแก่หรือเด็ก ฯลฯ ทั้งหมดนี้เป็นมหากุศลทั้งสิ้น ทุกครั้งที่จะอุทิศบุญให้ตั้ง นะโม ๓ จบ แล้วขอให้พระพุทธเจ้าเป็นประธานมีพระธรรมและ พระสงฆ์ เพราะบารมีพระพุทธเจ้าเปิด ๓ ภพ (โลก) สวรรค์ มนุษย์ นรก เจ้ากรรมนายเวรจะอยู่ภพไหน เช่น นรกขุมสุดท้าย (๑๘) เจ้ากรรมนายเวรจะอโหสิกรรมหมดรวดเร็ว และถ้าเป็นไปได้ควรกรวดนํ้าลงดินทุกครั้ง มีแม่พระธรณี แม่พระคงคา เป็นทิพย์พยาน เพราะท่านก็สำเร็จพระอรหันต์แล้ว เช่นทำบุญกุศลใส่บาตรฯลฯ ขอถวายบุญกุศลแก่พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ ขอให้พระองค์นำส่งบุญให้ลูกมีเดชปัญญา โภคะ (ความสมบูรณ์) เพื่อจะได้อุทิศให้จ้ากรรมนายเวร วิญญาณโปร่งใส ทุกภพทุกชาติ ศัตรูหมู่มารหรือหมู่พาล คือ มนุษย์ เช่น บริวาร ญาติ มิตร คนรับใช้ สามี ภรรยา บุตร ธิดา ทุกภพชาติขอให้ไดรับมหากุศลนี้รับแล้วขอให้อโหสิกรรม ให้ขาดจากกัน ณ เดี่ยวนี้ บัดนี้ ขอให้ข้าพเจ้ามีบุณบารมีสูงขึ้นๆๆๆ เต็มขึ้น เพื่อจะได้ช่วยสังคมให้สูงขึ้น และช่วยสร้างคนให้เป็นพระ เกิดปัญญาทางธรรม   จิตสัมผัสรู้ ชั่วดี เลว เหตุการณ์ล่วงหน้า
    ปัญญาทางโลกทุกคนมีอยู่แล้วจากพ่อแม่ แต่ขาดปัญญาทางธรรม ถ้าได้ประสบแต่ความสำเร็จ สมบูรณ์พูนสุขทุกอย่างเพราะบุญ คือ ขุมทรัพย์ ลาภยศจะมาเอง และยังช่วยครอบครัวผู้อื่นได้ด้วย (กรรมเวรแก้ไขได้โดยการขอขมากรรม และส่งวิญญาณด้วยพระสดุ้งมารขนาด ๓ นิ้ว ๕ นิ้ว ๗ นิ้ว ๙ นิ้ว เป็นการต่อชะตาชีวิต)
    ถ้าเจ้ากรรมนายเวรจากส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายบริเวณที่เจ็บป่วยได้อโหสิกรรม จะหายเจ็บป่วยทันที ถ้าเป็นโรคหัวใจ วิญญาณจะอยู่บริเวณนั้นการปวดศีรษะ กรรมจะเกิดจากชอบแกงปลาช้อน โดยได้ทุบหัวปลาไว้เพราะปลาช้อนก็มีอายุขัย วิญญาณมาสิงอยู่บริเวณศีรษะแบบเดียวที่เราได้ทำไว้ ถ้าเป็นไมเกรนเพราะวิญญาณมาพบ โกรธที่เคยเป็นหนี้ชาติไหนไม่รู้ ๑๐ ตำลึง จะตีบริเวณศีรษะไม่ข้างใดก็ข้างหนึ่ง เรียกว่า ไมเกรน ต้องแก้ที่ตนเหตุ คือทำบุญใส่บาตรอาหาร ๑ ชุด พร้อมพระสดุ่งมาร ๓ นิ้ว ๕ นิ้ว ดอกไม้ธูปเทียน ส่งวิญญาณขึ้นศวรรค์ เป็นวิธีแก้กรรมที่ต้นเหตุ ถ้าแก้ปลาช้อนต้องปล่อยปลาช้อน ๑ ตัวหลังจากใส่บาตร กรวดนํ้าแล้วทำให้เสร็จในวันเดียวกัน หาหมอเป็นการแก้ที่ปลายเหตุผลช้า ถ้านั่งสมาธิกรรมฐาน สติปัฏฐาน ๔ แก้ได้เร็ว และหายขาดที่ยังไม่หายขาดเพราะเจ้ากรมนายเวรชุดใหม่จะเข้ามาแทนที่
    ก่อนแก้กรรมใส่บาตรให้จุดธูป ๓ ดอกกลางแจ้งสวดนะโม ๓ จบข้าพเจ้าขอขมากรรมเจ้ากรรมนายเวร ขอให้อโหสิกรรมให้ขาดจากกัน กรณีที่ดวงตกมาก ขอแผ่บุญให้ตัวเองมากๆ ควรสวดมนต์เท่าอายุ และเลยอายุไป ๑ จบมีเวลาไปปฏิบัติด้วยตามวัดที่มีการปฏิบัติ เช่นวัดมหาธาตุ ควรแผ่เมตตาให้มากๆ วันละ ๑๐-๑๐๐ครั้ง ยิ่งดี ยิ่งมากก็จะดีมาก การแผ่เมตตาที่ได้ผลต้องกรวดนํ้าลงดินทุกครั้ง เพราะมีแม่พระธรณีเป็นพยาน ก็อย่าลืมแผ่เมตตาให้แม่พระธรณีด้วยล่ะ

วันอังคารที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เพื่อนรัก

  ความเมตตาเกิดขึ้นกับทุกผู้ทุกนามได้แน่ แต่ใครจะยึดติดถือมั่นมากกว่ากันเท่านั้น บางครั้งคนบางคนเรียนรู้ธรรมมาก็มากแต่เอาเข้าจริงๆ ก็ไปไม่รอดด้วยหลักธรรมที่ตัวเองปฏิบัติอยู่ คือเมตตาพรหมวิหาร ปราถนาให้ผู้ที่เรารักมีความสุข และเป็นดั่งใจเราบางครั้งทำให้เราเป็นทุกข์กายใจอย่างมาก จนทำให้สุขภาพร่างกายแย่ลง สุขภาพใจแย่มันอาจทำให้ร่างกายเกิดโรคภัยไข้เจ็บขึ้น คนที่มีโรคประตัวอยู่แล้วอาจจะล้มป่วยได้ง่ายๆ ขอยกตัวอย่างพี่ท่านหนึ่งเมื่อปี 2544 ผมได้เปิดสอนงานกัดลายกระจกที่เซ็นทรัลพระราม 3 พี่เขามาเรียนแกะกระจกอยู่พักหนึ่ง แล้วก็หายไปนานจนมาต้นปี 2546เขาได้มาเดินเล่นในห้างเขาแวะมาคุยกับผม พักนึ่งคุยกันหลายเรื่อง มีอยู่เรื่องหนึ่งเขาได้เล่าให้ฟังว่า เขามีเพื่อนที่คบกันมานานมาก เขากับเพื่อนช่วยเหลือกันเป็นหว่งเป็นไยซึ้งกันและกันมาโดยตลอด แต่อยู่ๆ เพื่อนเขาคนนี้ก็โกรดเขาอย่างมากจนเลิกคบกันไปเลยโดยไม่บอกเหตูผลว่าโกรดด้วยเรื่องอะไร พยายามตามหาเพื่อนคนนี้อย่างมาก โทรก็ไม่รับ พี่เขาเป็นทุกข์อย่างมากจนไม่เป็นอันกินอันนอน จนตัวเองป่วยแทบจะต้องเข้าโรงพยาบาท ไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้องหรือสามีแม้แต่ลูกก็เป็นทุกข์เพราะแม่ คิดแต่เรื่องเพื่อนคนนี้อยู่เกือบสองปี หลังจากผมกับพี่เขาได้คุยกัน ผมก็พยายามชี้แนะแนวทางเรื่องเวรกรรมที่เคยมีกรรมในอดีตกันมาแต่ปางก่อน ผมได้พูดขึ้นมาอยู่คำนึงว่า พี่กับเพื่อนของพี่คงจะหมดเวรซึ่งกันและกันแล้ว ผมได้อธิบายว่าพี่กับเพื่อนของพี่ เคยเป็นหว่งเป็นไยกันมากแต่อยู่ๆก็มาโกรดกัน อย่างไม่ใยดีเราโทรไปก็ไม่รับ แล้วจะไปทรมานตัวเองทำไมในเมื่อเรากับเขาหมดเวรหมดกรรมกันไปแล้ว เรากับเขาจึงไม่หลงเหลือใยดีกันอีกเลยความเมตตาที่เคยมีให้ก็หมดไปด้วย แล้วพี่จะมาทุกข์ด้วยเรื่องอะไร พี่ทุกข์คนเดียวซักเมื่อไหล่ครอบครับพี่ก็ทุกข์ตามไปด้วย ตลอดสองปีที่เป็นทุกข์พี่เขาเล่าให้ผมฟังเยอะมาก คุยกันนานนับชั่วโมงเมื่อได้เวลาพอสมควรจึงกลับบ้านไป พอวันใหม่พี่เขาก็มาคุยกับผมอีกครั้งเขาบอกว่าเขาไม่ทุกข์เพราะเพื่อนอีกแล้ว ผมกับพี่ได้คุยกันอีกหลายครั้ง ผมเห็นการเปลี่ยนแปลงของสุภาพร่างกายดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ผมมีความสุขไปด้วย ที่เราได้เป็นส่วนหนึ่งไม่มากก็น้อยที่ทำให้เขาไม่ต้องทุกข์เพราะเพื่อน
 ไม่จะใครก็หนีไม่พ้นการพลักพรากจากของรักของหวง ไม่ว่าจะจากเป็นหรือจากตายไม่เคยมีใครหนีพ้นเลยแม้แต่คนเดียว

วันอังคารที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2554

คัมภีร์มหาวรรค

                                                     คัมภีร์มหาวรรค         
                                                          ภาค ๑
                                                 (พระไตรปิฏก เล่ม ๔)
                                             วรรคใหญ่ ภาค ๑ มี ๔ขันธ์
                                                     ๑. มหาขันธ์กะ
                             หมวดใหญ่ ว่าด้วยการณ์ในสมัยที่พุทธองค์ตรัสรู้ใหม่ๆ
                                          ทรงมนสิการปฏิจจสมุปบาท
    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสรู้ใหม่ๆ ประทับ ณ โคนไม้โพธิริมฝั้งแม่นํ้าเนรัญชรา ในตำบลอุรุเวลา พระองค์ประทับนั่งเสวยวิมุตตอสุข ณ โคนไม้โพธิตลอด ๗ วัน ในปฐมยามแห่งราตรี ทรงพิจารนาปฏิจจสมุปบาทธรรมที่เกิดขึ้นและดับไปเพราะอาศัยเหตุปัจจัยโดยอนุโลมและปฏิโลม  แล้วทรงเปล่งอุทานว่า เมื่อธรรมปรากฏ แก่พราหมณ์ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่เขาย่อมสิ้นความสงสัย เพราะรู้ธรรมพร้อมทั้งตนเหตุ ในเวลามัชฌิมยามแห่งราตรี ทรงพิจารนาปฏิจจสมุปบาทโดยอนุโลมและปฏิโลมแล้วทรงเปล่งอุทานว่าเมื่อธรรมปรากฏแก่พราหมณ์ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่ เขาย่อมสิ้นความสงศัย เพราะได้ทราบถึงความสิ้นไปแห่งปัจจัย ในเวลาปัจฉิมยามแห่งราตรีทรงพิจารนา ปฏิจจสมุปบาททั้งโดยอนุโมลตามลำดับและโดยปฏิโลมย้อนลำดับแล้วทรงเปล่งอุทานว่า เมื่อธรรมปรากฏแก่พราหมณ์ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่ พราหมณ์นั้นย่อมกำจัดมารพร้อมเสนาเสียได้ ดั่งดวงอาทิตย์ทำท้องฟ้าให้สว่างฉะนั้น.
                           ทรงโต้ตอบกับพราหมณ์ที่ชอบตวาดคน
    เมื่อครบ ๗ วันแล้ว ทรงออกจากสมาธินั้นเสด็จจากโคนโพธิ ไปยังไม้อชปาลนิโครธ ต้นไทรที่เด็กเลียงแพะชอบมาพัก ประทับนั่งเสวยวิมุตติสุข ณ โคนนั้นตลอด ๗ วัน มีพราหมณ์ตวาดคนมาเฝ้ากราบทูนถามถึงธรรมะที่ทำคนให้เป็นพราหมณ์ ทรงเปล่งอุทานเป็นใจความว่า ผู้ที่จะนับว่าเป็นพราหมณ์ คือผู้ลอยบาป ไม่มักตวาดคนอื่น ไม่มีกิเลสเหมือนนํ้าฝาด สำรวจตน มีความรู้จบเวท อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ไม่มีความเย่อหยิ่ง.
                                  ทรงเปล่งอุทานที่ต้นจิก 
    ครั้นครบ ๗ วัน แล้วทรงออกจากสมาธินั้น เสด็จจากโคนไม้อชปาลนิโครธไปยังต้นจิก ประทับนั่งเสวยวิมุตติสุข ณ โคนไม้จิกนั้น ตลอด ๗ วัน ได้เกิดเมฆใหญ่ผิดฤดูกาลมีฝนพรําเจือด้วยลมหนาว ตลอด ๗ วัน พญานาคชื่อมุจลินท์ มาวงขนดรอบพระกายของพระผู้มีพระภาค ๗ รอบ เพื่อป้องกันหนาวร้อนเหลื่อบยุงเป็นต้น ทรงเปล่งอุทานปรารภสุข ๔ ประการ คือ สุขเพราะความสงัด สุขเพราะไม่เบียดเบียน สุขเพราะปราศจากราคะก้าวล่วงกามได้ และสุขอย่างยอดคือการนำความถือตัวออกได้
                                 เหตุการณืที่ต้นเกต
     ครั้นครบ ๗ วันทรงออกจากสมาธินั้น เสด็จจากโคนไม้จิกไปยังไม้ราชายตนะ(ต้นเกต)ประทับนั่งเวสยวิมุตติสุข ณ โคนยเกตนั้นตลอด ๗ วัน มีพ่อค้าสองคนชื่อ ตปุสสะ กับ ภัลลิกะ เดินทางมาจากอุกละชนบท ถวายข้าวสัตตุก้อนและสัตตุผง ทรงรับด้วยบาตรที่ท้าวจตุมมหาราชถวาย แล้วเสวยข้าวนั้น พ่อค้า๒ คนปฏิญญาตนเป็นอุบาสกถึง พระพุทธ พระธรรมเป็นสรณะ นับเป็นอุบาสกชุดแรกในโลกที่เปล่งวาจาถึงรัตนะ ๒ (คือ พระพุทธ พระธรรม).
                                 เสด็จกลับไปที่ต้นไทรอีก
     ครั้นครบ ๗ วัน แล้ว ทรงออกจากสมาธินั้น เสด็จจากโคนไม้เกตไปยังต้นไทรที่เด็กเลี่ยงแพะชอบมาพัก(อชปาลนิโครธ) และประทับ ณ โคนไม้ไทรนั้น ทรงพิจารนาเห็นว่า ธรรมที่พระองค์ตรัสรู้ ลึกซึ้ง ยากที่คนอื่นจะตรัสรู้ตามได้ กล่าวคือ หลักอิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท แม้ฐานะคือ ความสงบแห่งสังขารทั้งปวง ความสิ้นตัณหา วิราึคะ นิโรธนิพพาน ก็เป็นสิ่งเห็นไ้ดยาก ทรงน้อมพระหฤทัยไปในทางที่จะไม่แสดงธรรม.
                               พระพรหมมาอาราธนา
     ท้าวสหัมบดีพรหมทราบพุทธดำริ จึงมาเฝ่ากราบทูลอาราธนาให้ทรงแสดงธรรม อ้างเหตุผลว่าผู้ที่มีกิเลสน้อย  พอจะรู้พระธรรมได้มีอยู่ พระผู้มีพระภาคทรงพิจารนาสัตว์เปรียบด้วยดอกบัว ๓ ชนิด คือที่อยู่ใต้นํ้า เสมอนํ้า และโผล่พ้นนํ้า อันเปร๊ยบด้วยบุคคล ๓ ชนิด ที่พอจะตรัสรู้ได้ จึงทรงตกลงพระทัยที่จะแสดงธรรม ทรงปรารภอาฬารดาบส กาลามโคตร ก็ทรงทราบว่าถึงแก่เสีย ๗ วันแล้ว ทรงปรารภอุทกดาบส รามบุตร ก็ทรงว่าถึงแก่กรรมเสียเมื่อวานนี้เอง จึงตกลงพระหฤทัย เสด็จไปแสดงธรรมโปรดปัญจวัคคีย์ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ระหว่างทางทรงพบอุปกาชีวก ได้ตรัสโต้ตอบกับอาชีวกนั้น แต่อุปกาชีวกนั้นไม่เชื่อ.
                            ทรงแสดงธรรมครั้งแรก
     เมื่อเสด็จถึงป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงกรุงพาราณสีแล้ว ครั้งแรกปัจจวัคคีย์เหล่านั้นแสดงอาการกระด่างกระเดื่อง แต่เมื่อทรงเตือนให้นึกถึงว่าเมื่อก่อนพระองค์ ไม่ตรัสบอกเลยว่าตรัสรู้ บัดนี้ตรัสบอกแล้ว จึงควรตั้งใจฟัง ก็พากันตั้งใจฟัง พระผู้มีพระภาคจึงทรงแสดงธัมจักกัปปวัตตนสูตร มีใจความสำคัญคือ
     ๑. ทรงชี้ทางผิดอันได้แก่กามสุขัลลิกานุโยค(การประกอบตนให้ชุ่มอยู่ด้วยกาม) และอัตตกิลมถานุโยค(การทรมานตนให้ลำบาก) ว่าเป็นส่วนสุดโต่งที่บรรพชิตไม่ควรดำเนิน แล้วทรงแสดงมัชฌิมาปฏิปทา(ข้อปฏิบัติสายกลาง)ได้แก่มรรคมีองค์ ๘ ที่พระองค์ตรัสรู้แล้ว อันไปเพื่อพระนิพพาน.
     ๒. ทรงแสดงอริยะสัจ ๔ คือ ทุกข์ เหตุให้ทุกข์เกิด ความดับทุกข์และข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ โดยละเอียด.
     ๓. ทรงแสดงว่าทรงรู้อริยสัจ ๔ ทรงรู้หน้าที่อันควรทำในอริยสัจ ๔ และรู้ว่า ได้ทรงทำหน้าที่เสร็จแล้ว จึงทรงแน่พระหฤทัยว่า ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว(อันแสดงว่าทรงปฏิบัติจนได้ผลด้วยพระองค์เองแล้ว) เมื่อจบพระธรรมเทศนา ท่านโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรม และได้ข้อบวช ต่อมาท่านวัปปะ ท่านภัททิยะ ท่านมหานามะและท่านอัสสชิ สดับพระธรรมเทศนา ได้ดวงตาเห็นธรรมตามลำดับ และได้ขอบวข เป็นอันได้ขอบวชครบทั้ง ๕ ท่าน
                         ทรงแสดงอนัตตลักขสูตร
     ต่อจากนั้น พระผู้มีพระภาค จึงทรงแสดงอนัตตลักขสูตรแก่ภิกษุปัจจวัคคิย์นั้น มีใจความสำคัญคือ
     ๑. รูป  เวทนา  สัญญา  สังขาร  และวิญญาณ ไม่ใช่ตน ถ้าเป็นตนก็จะบังคับบัญชาให้เป็นอย่างนี้ไม่เป็นอย่างนั้นได้ ฉะนั้นจึงเป็นไปเพื่อป่ายอาพาธ เพราะไม่ใช่ตนจึงบังคับบัญชาไม่ได้.
     ๒. แล้วตรัสถามให้ตอบเป็นข้อๆ ไปว่า ขันธ์ ๕ เที่ยงหรือไม่เที่ยง ตอบว่าไม่เที่ยง สิ่งที่ไม่เที่ยงเป็นทุกข์หรือเป็นสุข ตอบว่าเป็นทุกข์ สิ่งใดไม่เที่ยงเป็นทุกข์มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ควรหรือที่จะตามเห็นว่านั่นของเรา เราเป็รนั่น นั่นเป็นตัวตนของเรา ภิกษุปัจจวัคคีย์เหล่านั้นตอบว่าไ่ม่ควร.
     ๓. ตรัสสรุปว่าเพราะเหตุนั้น ควรเห็นด้วยปัญญาอันชอบว่า รูปเป็นตนทุกชนิดไม่ใช้ของเรา เราไม่ได้เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา.
     ๔. ตรัสแสดงผลว่า อริยะสาวกผู้เห็นอย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายในรูปเป็นตนนั้น เมื่อเบื่อหน่ายก็คลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัดจึงหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นก็รุ้ว่าหลุดพ้นแล้ว รู้ว่าสิ้นชาติอยู่จบพรหมจรรย์ทำหน้าที่เสร็จแล้ว ไม่ต้องทำหน้าอะไรเพื่อควาเป็นอย่างนั่นอีก ภิกษุปัจจวัคคีย์มีจิตหลุดพ้นจากอาสวะไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน ครั้งนั้น มีพระอรหันต์เกิดขึ้น ๖ องค์

วันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2554

การอุทิศบุญ และ การมลายมนต์อาคม

  ในยุคปัจจุบันนี้วงการพระเครื่องมีมากมายที่เข้ามาวงการนี้ทั้งที่ศึกษาอย่างจริงจังและไม่จริงจังคือเอาแต่ฟังผู้อื่นโดยไม่หาข้อมูลและเชื่อตามที่ได้ยินได้ฟังมา ก็ไปหามาบูชาเพื่อให้ตนเองมีลาภสักการะแลมีโชคมีลาภ ค้าขายดีมีกำไลมากๆ จึงทำให้ผู้คงแก่เรียนในวิชาคาถาอาคมทั้งฆาราวาส และ ภิกษุได้ต่างกันออกวัตถุมงคลและเครื่องลางของขลังกัน แต่พอได้มาแล้วกับเก็บรักษาและบูชาในสถานที่ไม่เหมาะสมเช่นเอาวิญญาณหรือกุมารไปไว้รวมกันไม่แยกเป็นส่วนๆตามแผงพระจึงนำมาเพื่อให้ผู้คนได้เสาะหามาบูชาเพื่อช่วยในด้านต่างๆทั้งค้าขาย เมตตามหาเสน่าห์ คงกะพันชาตรี จึงทำให้ผู้มีอาคมเรียกวิญญาณเข้ามาผูกมัดไว้ใน เครื่องลางของ ขลังต่างๆมากมาย ดวงวิญญาณบางดวงก็เต็มใจบางดวงก็ไม่เต็มใจ ยกตัวอย่างเช่น เอากุมารไปไว้รวมกับพระเครื่อง ซึ่งบารมีพระเครื่องจะสูงกว่ากุมาร จึงทำให้กุมารต้องแทบทนไม่ไหวและก็ไม่เคยให้กินหรือทำบุญให้เลย ถ้าเกิดมีคนมาเช่าไปบูชาแต่ไม่เคยทำบูญให้อีก เขาก็ไม่ต่างอะไรกับติดคุกเลยแล้วเราจะไปขอให้เขาช่วยในเรื่องต่างๆย่อมเป็นไปไม่ได้เลย เหมือนเราไม่ได้กินข้าวแล้วเราจะเอาแรงที่ไหนมาทำงานให้ล่ะ แล้วเราก็โทษว่าเครื่องลางไม่ขลังไม่ดีก็ต้องพยายามไปหามาใหม่อยู่ตลอด แต่ถ้าเราหมั่นทำบุญอุทิศให้แก่ทุกดวงจิตและวิญญาณที่อยู่กับวัตถุมงคลบ่อยๆจะทำให้เขามีบุญมากเมื่อเขามีบุญมากเขาก็จะช่วยเราส่งเสริมเราให้เราค้าขายดีกิจการรุ่งเรืองมากขึ้น รวมทั้งพระเครื่องและวัตถุมงคลเครื่องลางของขลัง ที่มีผู้มีอาคมผูกม้ดไว้ทั้งเต็มใจและไม่เต็มใจพระเตรื่องตามแผงพระทั่วไปก็จะมีทุกดวงจิตและวิญญาณมาทำตามหน้าของตนที่ได้รับมอบหมายมากับเจ้าของนั้นๆอยู่แล้ว เมื่อเปลี่ยนเจ้าของใหม่ ผู้รักษาคนเดิมก็จะหมดวาระและก็จะมีท่านใหม่มาแทน เทวดาบางท่านมีบุญมากอยู่แล้ว ก็จะมาช่วยดลบันดาลให้สมหวังดั่งใจผู้ครอบครอง แต่บางท่านบุญยังไม่มากพอ หรือกำลังยังที่มีอยู่ก็ไม่สามารถช่วยเจ้าของเลยก็เหมือนคนไม่กินข้าวนั่นเเหละ จะเอากำลังที่ไหนมาช่วยได้เรา ต้องหมั่นทำบุญให้เทวดาประจำพระเครื่อง และเครื่องลางของขลัง และที่ลืมไม่ได้ก็เทวดาประจำตัวเราพระท่านบอกว่าอย่างน้อยมีสององค์ ต้องหมั่นทำบ่อยๆ พระท่านสอนว่าเวลาเราทำบุญอะไรไม่ว่าจะเป็นการไส่บาตรหรือหยอดตู้บริจากตามที่ต่างๆ ท่านบอกว่าขณะที่เราไส่บาตรของหลุดจากมือเราลงในบาตร ให้เราอุทิศทันทีโดยการคิดว่า บุญนี้อุทิศให้เทวดาประตัวเรา หรือบุญนี้อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรที่มาถึงตัวข้่าพเจ้าในวันนี้ ทุกครั้งที่ของหลุดจากมือเราให้รีบส่งบุญทันที หรือถ้าเราต้องการให้บุญของเราเพิ่มมากขึ้นพระท่านสอนว่าต้องอาศัย กำลังของพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ โดยว่าอย่างนี้ ขออำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ โปรดดลบันดาลผลบุญของข้าพเจ้านี้ให้กับเทวดาประจำตัวข้าพเจ้าทั้งหมด หรือจะเปลี่ยนเจ้ากรรมนายเวร จะเปลี่ยนเป็นเทวดาประจำพระเครื่องของเราทั้งหมด ถ้าเป็นกุมารก็ให้บอกชื้อที่เราตั้งให้ เขาจะได้รับบุญมากและช่วยเราได้เร็วขึ้น  การอุทิศบุญนี้พระท่านแนะนำสั้งสอนศิษย์ให้นำไปใช้ดู ส่วนเรื่องการมลายมนต์อาคมที่ผู้มีอาคมผูกมัดดวงวิญญาณไว้กับพระเครื่องและเครื่องของขลังต่างๆโดยเพฉาะกุมารพวกเขาลำบากมากถูกผู้มีอาคมเรียกมาใช้งานแต่ก็ไม่เคยให้กินอะไร เพราะได้มีผู้นำไปวางจำหน่ายตามแผงพระต่างๆดวงวิญญาณที่ถูกนำไปผูกมัดกับพระเครื่องต่างๆและเครื่องลางของขลังเขาจะลำบากมาก ผมได้บทความมาหนึ่งฉบับจากหนังสือที่ผมอ่านเป็นประจำ เห็นว่าหน้าสนใจดี  (พุทธามหาเวท ในเล่มผู้เขียนชื่อคนธรรมดาประสบการณ์วิญญาญและการอุทิศบุญ)
   ในเวลาที่ผมเดิมไปไหนมาไหน ผมมักจะชอบเบิดบุญเช่นเดียวกับคุณคนธรรมดา ที่ผมเขียนถึงบทความของเขา ยามว่างเขาจะชอบเดินไปตามแผงพระเครื่องต่างๆเผื่อพบพระเครื่องที่ถูกใจจึงได้เช่าหามาเก็บสะสม ในขณะที่เดินดูไปผมก็อุทิศบุญแจกทั่วๆปรากฏว่าพอกลับถึงบ้าน ปรากฏว่ามีวิญญาณเด็กๆตามมา ตกคํ่าเลยเรียกมาคุยกัน   เขา.  หนูเป็นใคร ตามมาทำไม?  วิญญาณเด็ก. หนูเป็นกุมารทอง อยู่ที่ขวด เขาเอามาขาย พอได้รับบุญเลยมีกำลังหลุดจากขวดเลยตามมาขออยู่ด้วย  เขา. ตามใจยากอยู่ด้วยกันก็ได้ แต่ที่นี่มีแต่ให้บุญนะไม่มีเครื่องเซ่นให้  วิญญาณเด็ก. หนูได้บุญก็อิ่มแล้ว ขออยู่ด้วยคนนะ ที่นี่มีแต่คนใจดี  เขา. เมื่อก่อนอยู่กับใครล่ะ  วิญยาณเด็ก. อยู่กับคนแก่ เขาขายมา เลยถูกเอาวางขายที่แผงพระ เอาวางปนกับพระ หนูร้อน  ไม่เคยให้อะไรหนูกินเลย หิวมากหนูขออยู่ด้วยนะ
   ตกลงผไปแผงพระทีไร มีเด็กๆ และวิญญาณที่สิงสถิตอยู่ตามวัตถุมงคล แ้แต่พระเครื่องบางองค์ ผู้มีอาคมเอาวิญญาณผูกเอาไว้ อย่างพระพลายเพชรพลายบัว ที่เป็นรูปคล้ายพระขุนแผน 2 องค์คู่ติดกันนั่นแหละ ขังผีไว้ทุกองค์เลย ผู้สร้างหวังจะให้พระเฮี่ยน ตามผมกลับบ้านประจำ เพราะผมเดิมชมพระไปอุทศแจกบุญไปทั่ว ผมลองคุยกับเขาดูบ้างเป็นบางครั้ง
   คนธรรมดา : สวัสดีครับท่านติดตามกลับาบ้านผมทำไมหรือ?
   เทวดา : เราได้รับคำสั่งให้ติดตามรักษาพระองค์นี้
   คนธรรมดา : ท่านอยู่กลับพระองค์นี้ตั้งแต่สร้างเลยหรือเปล่า?
   เทวดา : เราลงาอยู่ตอนที่เธอซื้อพระมานี่แหละ ผู้รักษาคนเดิมเขากลับไปข้างบนแล้ว
   คนธรรมดา : อย่างนี้ท่านก็ไ่รู้เรื่องประวัติพระองค์ที่ผมได้มานะ่ซิ?
   เทวดา : เราไม่รู้หรอก เพิ่งลงมาวันนี้เอง คืออย่างนี้ เมื่อมีการเปลี่ยนเจ้า เทวดาที่เฝ้าอยู่เดิมก็ถือว่าหมดหน้าทีกลับไปข้างบนได้เบื้องบนก็จะส่งผู้ดูแลใหม่ลงมา เข้าใจหรือยัง
   คนธรรมดา : รู้เรื่องที่บ้านผมหรือยัง?
   เทวดา : ตอนนี้คุยกับพวกที่อยู่เดิมรู้เรื่องแล้ว  เดี๋ยวช่วยกันตอนแรกสงสัยเหือนกัน มาบ้านนี้ทำไมผีเยอะจังงานนี้ลงมาไม่ขาดทุนแล้ว สงสัยจะได้บุญมากกว่าอยู่ข้างบนเสียอีก ถ้าเธอไ่ม่เอาพระติดตัวไป เราจะอยู่ข้างบนช่วยสอนวิญญาณนะ แต่ถ้าเธอเอาพระองค์นี้ติดตัวไป เราจะตามเธอไปด้วย
   คนธรรมดา : ตกลงครับ
   เทวดา : มีอยู่วันหนึ่ง ผมติดต่อช่วยวิญญาณกันอยู่ พวกของผมได้บอกว่าท่านผู้อยู่สูงสุดเบื้องบนต้องการให้ทำงานอย่างหนึ่ง คือ เวลาไปตามสนามพระช่วย (มลายมนต์) ที่ผู้มีอาคมผูกัดวิญญาณสัมภเวสีไว้ตามวัตถุที่ลงอาคมมัดไว้แน่นเขาไม่สามารถหลุดออกมาได้
  ผมเองก็สงสัย  ผมไม่ีมีคาถาอาคมและพลังจิตที่แรงกล้า จะไปมลายนต์หรือถอนล้างอาคมของผู้สร้างได้ จะให้ผมทำด้วยวิธีไหนกัน ก็ได้รับคำตอบว่า ให้เธอขอบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แผ่บารมีลงมามลายมนต์ซิ ตกลงผมเข้าใจแล้วครับ เพราะบารมีสูงสุดคือพุทธองค์
  พอผมมีโอกาสไปเดินเล่นตามสนามพระ ผมก็ยืนคิดอธิฐานเลย โดยไม่ได้พนมมือ เดี๋ยวคนอื่นเขาสงสัยว่าไอ้หมอนี่ัมันทำอะไร ผมอธิฐานอย่างนี้ครับ
  ขอบารมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โปรดแผ่บุญบารมีของพระองค์ท่านลงมามลายมนต์ที่ผูกมัดวิญญาณที่ไม่เป็นภัยกลับผู้ใดให้หลุดจากอาคมที่ผูกมัดด้วยเถิด...สาธุ
 ขณะอธิฐานจบ ผมก็พุ่งจิตทั่วบริเวณตลาดพระเครื่อง ผลปรากว่าพอตกคํ่าสำรวจผลงาน มีผู้ติดตามกลับมาเพียบเลย เมื่อเยอะมากเลยต้องขอบารมีของพระพุทธองค์นำส่งที่วัดป่าที่เพชรบูรณ์ เป็นอันหมดหน้าที่ ทุกวันนี้ผมเองก็ยังต้องทำอยู่ เพราะเป็นคำสั้งให้ปฏิบัติ
  ผมเคยกราบทูลถามว่า ที่ผมไปแอบถอนเอาวิญญาณออกจากวัตถุมงคลมิใช่การขโมยหรอกหรือ ได้รับคำตอบว่า วิญญาณเหล่านั้นถูกอาคมบังคับให้อยู่กับวัตถุที่สร้าง มิได้อยู่ด้วยความสมัครใจ เราช่วยเขาให้เป็นอิสระ ไม่ผิด เป็นอันว่าผมไม่ผิดศิลข้อ 2...สบายใจ
  มีวันหนึ่งผมไปธุระเดินผ่านตู้วัตถุมงคล เห็นกล่องใส่กุมารทองตัวเป็นโลหะ เรียงเป็นแถว ผมก็อุทิศให้เด็กๆเหล่านั้นเพราะรู้ว่า อยู่ในตู้เหล่านี้ไม่ได้กินอะไรเลย หิวมากอยู่แล้ว ปรากฏว่า เด็กตกราว 20 คนตามผมกลับบ้านหมด เขาบอกไม่อยู่แล้ว ทิ่งร่างโลหะเลย อยู่ไปก็อด ไม่มีอะไรให้กิน เลยขออยู่ด้วย
  ผมก็ไ่ว่าอะไร อยากมาอยู่ก็เอา...เต็มบ้านหมด แต่ไม่เปลืองที่ครับ แล้วผมผิดหรือเปล่าหนอ? ไม่ได้คิดให้ตามมาบ้านหรอก สงสารเลยเบิกบุญให้ไปเท่านั้น เด็กเหล่านั้นเดิมเป็นสัมภเวสีเร่ร่อนหาที่เกิดอยู่ถูกอาคมเรียกมาเข้าร่างกุมารทอง เลยเกิดเป็นเด็กกุมารนี่แหละ เห็นผมให้บุญเขาได้ เลยชวนกันตามมาขออยู่ด้วย
  ที่ผมขอบารมีพระพุทธองค์นี้ ทุกคนสามารถทำได้ เราเป็นชาวพุทธนับถือพระพุทธเจ้าสูงสุด เราขอบารมีท่านได้ เพื่อสงเคราะห์วิญญาณที่ถูกผูกมัดอยู่ให้เป็นอิสระ แม้แต่วิญญาณที่หมอผีส่งมาทำร้ายคนเราก็ใช้การขอบารมีมลายมนต์ที่บังคับผีนั้นให้หลุดได้ เสร็จแล้วเอาบุญให้ผีตนนั้นจนเขามีบุญ พ้นจากการถูกบังคับ 
  ห้ามเขาด้วย...อย่ากลับไปทำร้ายหมอผีนั้นให้เป็นบาปกรรมต่อกัน หมอผีเหล่านั้นถ้าเขาก่อกรรมไว้ เขาต้องลงไปรับกรรมที่นรกเองอยู่แล้ว หาพ้นมือพญายมราชไม่
  ถ้าถูกคุณถูกของที่ผู้มีอาคมเพ่งวัตถุจนเล็กเป็นผงแล้วปล่อยมาทางอากาศมาเข้าตัวผู้ใด ก็สามารถมลายมนต์อาคมพลังจิตนี้ได้ด้วยบารมีของพระพุทธองค์ได้
 อาจจะนำนํ้ามาหนึ่งขัน ตั้งหน้าพระพุทธรูปแล้วขอบารมีพระพุทธเจ้าให้แผ่บารมีลงในขันนํ้านี้เพื่อมลายมนต์ที่ถูกกระทำอยู่ และให้วัตถุนั้นหลุดออกจากร่างกายโดยไม่เป็นอันตรายกับร่างกาย แล้วนำนํ้านั้นดื่ม
 







วันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ชอบลองดีกับสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตา

     เรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับผมเมื่อปี 2532 ในช่วงนั้นข้าพเจ้าบวชเรียนที่ปราจีนบุรี หลังออกพรรษาปี2532 แล้วไม่นานข้าพเจ้าได้ไปอยู่ปราริวาสที่ วัดเกตุมวดี  มีพระไปอยู่ปฏิบัติธรรมรวมประมาณเกือบ 650 รูป อยู่ 9 วัน 9 คืน ในคืนที่ 4 ได้เกิดเรื่องแปลกกับผมหลังจากปฏิบัติธรรม และ ฟังคำบรรยาย ก็เกือบ 3 ทุ่มพระทุกรูปก็ต่างกันแยกย้ายที่พักของตน โดยปกติผมก่อนจะเข้าพักในกลดผมจะต้องสวดแผ่เมตตาต่อสรรพสัตวทั้งหลายก่อนทุกครั้ง ที่จะเข้ากลด ในขณะที่แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ที่มีพิษอยู่นั้น สายตาผมได้  มองเห็นสัตว์มีพิษตัวใหญ่ขนาดเอานิ้วมือนิ้วชี้กับนิ้วก้อยไปทาบดูจะประมาณนั้น ทุกท่านลองคิดดูนะครับว่าท่าถูกมันกัดเข้าจะเป็นอย่างไร ผมมองดูมันค่อยๆคลานผ่านตรง ธูปที่ข้าพเจ้าปลักดินไว้  เข้าป่ารอบๆ บริเวณนั้น ข้าพเจ้าอธิฐานบอกกล่าวเทพเทวา ที่อยู่บริเวณนั้นทุกองค์ช่วยปกปักรักษา และ ช่วยขับไล่สัตว์มีพิษที่คลานเข้าไปในกลดทั้งหมดออกมาข้างนอกเทอด และ นี่ก็คือสิ่งที่ข้าพเจ้ามีสำมาคารวะต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายให้ท่านช่วยดุแลเรา และนี่ก็อีกเรืองที่ชอบลองของกันจะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ จะต้องระวังให้มาก กลดของพระแต่ละองค์ จะห่างกัน 3-5 เมตร พระรูปหนึ่งอธิฐานขอชมบารมีเทพเทวาท่านที่อยู่บริเวณนี้ ท่านบอกผมว่าแค่ขอชมเท่านั้น หารู้ไม่วา่นี่คือการลองของและก็ได้ผลครับท่านในคืนนั้นหลังจากพระทุกรูปเข้ากลดทำกิจของตนแผ่เมตตาก็เข้านอน ท่านเล่าว่าพอนอนท่านก็ภาวนาไปด้วย
ประมาณเที่ยงคืน อยู่ก็เกิดเรื่องแปลกขึ้นอยู่ๆก็มีแสงประหลาดพุ่งลงมาจากท้องฟ้าทะลุลงมากลางกลดมาที่กลางตัวท่านอย่างจังท่านบอกว่ามันทรมานมาก ท่านดิ้นร้องให้ทุกท่านรวมผมช่วยทั้งๆที่บริเวณนั้นมีพระนับร้อยรูป ท่านบอกว่าหลุดออกมาได้ก็ตอนพระท่านมาตีระฆังให้สวดมนต์ตี 3 ทุกคืนและทำสมาธิจนตี5.30นาทีหลังจากนั้นก็มาพักผ่อนกันสบาย พระรูปนี้ที่อยู่ใกล้กันกับผมก็เล่ารายละเอียดให้ฟังดั่งที่กล่าวมา ผมจึงบอกท่านไปว่านี่ละ่คือการลองดีกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพเทวาท่านแค่มาเตือนแค่นั้นเองที่หลังอย่ามาลองดีอีกจะโดนหนักกว่านี้แน่ ตั้งแต่นั้นมาท่านไม่เคยทำอีกเลย
  ล้อเล่นกับโลกได้แต่อย่าล้อเล่นกับสิ่งที่เรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่ามันไม่สนุกแน่ครับ

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ธรรมะฝ่าความมืด ของพระผ้าขี้ริ้ว

                                                                                                                                  ผมได้รู้จักพระอาจารย์ท่านหนึ่งเป็นผู้เคร่งในพระธรรมวินัยชอบอยแต่ ในป่า ผมมีโอกาสได้รู้จักกับท่านเพราะเพื่อนแนะนำให้รู้จัก ท่านเป็นศิษย์ของหลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดร และตอนนั้นปี 47 ท่านกำลังสร้างรูปหล่อหลวงปู่พระครูเทพโลกอุดร จนแล้วเสร็จในปีนั้นที่วัดผ่องพลอย สุขุมวิท105 ซอยลาซาลแขวงบางนาเขตบางนากทม. ผมมักจะไปสนทนาํธรรมกับท่านหลังเลิกขายของแล้ว  คืนหนึ่งผมได้สนทนากับท่านหลายเรื่อง และมีอยู่เรื่องหนึ่งท่านสอนธรรมให้ผมใช้สติต่อการปฏิบัติทุกเวลา ท่านได้ถามขึ้นว่า ใหนโยมลองมองฝ่าความมืดออกไปข้างนอกซิว่า เราเห็นอะไรบ้าง ผมก็หันไปมองตามที่ท่านบอก ผมก็ตอบท่านไปว่า ก็เห็นแต่ความมืดและแสงไฟฟ้า ท่านบอกว่าตอบอย่างนั้นมันก็ถูก แต่จริงๆมันไม่ใช้ ท่านบอกผมว่า เมื่อหนึ่งชั่วโมงที่แล้วเห็นหรือเปล่า นั้นคืออดีตที่ทุกคนทิ้งความวุ่นวายเอาไว้ ถ้าเราย้อนเวลาไปได้เราก็จะเห็น การกระทำของเราที่ไม่มีสติ ก่อนที่จะทำผิดชอบชั่วดี ตามใจตนเองโดยไม่ยั้งคิด จึงมีคนได้รับผลกระทบจากเราผู้กระทำ ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม
  หรือในด้านการฝึกจิตและภาวนา เราจะเห็นจิตอันวุ่นวายสับสนของทุกผู้ทุกนาม  ทั้งโลภโกรธหลงแย่งชิงล้วนเห็นประโยชน์ส่วนตนเป็นใหญ่ ทิ้งเอาไว้เมื่อเวลาที่ผ่านมา มีทั้งผู้ที่มีความสุขและความทุกข์หลากหลาย หลายภพชาติหลายชาติของแต่ละบุคคล ก็จะมีอย่างนี้ไม่จบ จนกว่าเราจะเห็น
       อนิจจัง      ความไม่เที่ยง
       ทุกขัง        เป็นทุกข์
       อนัตตา     ไม่มีตัวตน
  นี่คือธรรมะที่ท่านสอนผมในคืนนั้น เหมือนเราย้อนดูหนังดูละครให้เราย้อนดูตัวเอง สรุปก็คือสติจะต้องพิจารนาความไม่เที่ยงของกายสังขารของเรานั้นเอง   นี่คือธรรมะที่ท่านสอนผมให้เห็นภพเห็นชาติ

วันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

พระอุปคุตมหาเถระเจ้า

 
      พระอุปคุตมหาเถระเจ้า

 เรื่องของพระมหาอุปคุตเถระอรหันต์  ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์  และพญามารวัสวดีราชาธิราช  เป็นผู้ไม่เลื่อมใสความดี  คอยรังควานการทำบุญกุศลของมนุษย์  ได้มีการเวียนว่าย  ตายเกิดมาหลายภพหลายชาติ  กาลครั้งนั้น พระหาอุปคุต    ถือกำเนิดเป็นชายที่ศรัทธา ต่อบวรพุทธศาสนา  ถึงกับได้บรรพชาเป็นสามเณร ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก  พอเติบใหญ่ถึงบั้นปลายในชีวิต  จึงได้เป็น  สมภารเจ้าอาวาสปกครองดูแล  ภิกษุสามเณร และลูกวัด มากมายหลายรูป หลายคน พญามารวัสวดีก็เกิดเป็นชายเหมือนกัน พอโตสมควรบรรพชาเป็นสามเณร ณ พระอารามที่พระมหาอุปคุตได้เป็นเจ้าอาวาสอยู่
                     
       ท่านสมภารได้ปกครองดูแล วัดวาอารามด้วยความเรียบร้อยพยายามอบรมสั่งสอน ให้ทุกคนหมั่นทำความดี และมอบหมาย หน้าที่การงานให้แต่ละคน ที่อยู่ในวัดดูแลรับผิดชอบ อย่างทั่วถึงกัน สำหรับสามเณรวัสวดีมีหน้าที่ดูแลทำความ สะอาดบริเวณ
       รอบๆองค์พระเจดีย์ที่บรรจุพระเกศาธาตุ   ทุกอย่างดำเนิน  ไปด้วยความเรียบร้อย  อยู่มาวันหนึ่ง  ท่านสมภารอุปคุต  ได้เดินออกไป ตรวจรอบๆ  บริเวณวัด  เมื่อมาถึงองค์พระเจดีย์  ก็พบว่ายังมีมูลสุนัขถ่ายทิ้งไว้อยู่กองหนึ่ง  จึงสั่งให้ศิษย์ตามสามเณรวัสวดีมาสอบถาม พอสามเณรวัสวดีมาถึง 
สมภารอุปคุตได้สอบถามว่า  ฉันสั่งให้คอยดูแลความสะอาดเรียบร้อย  ทำไมถึงละเลยไม่ปฏิบัติตาม  
       สามเณรน้อยตอบว่า  ผมได้ดูแลเก็บกวาดเรียบร้อย  แลสุนัขได้มาถ่ายทิ้งไว้ในภายหลัง  พอสมภาร ฟังเณรน้อยเถียงแก้ตัว  จึงใช้ด้ามไม้กวาดตีศีรษะ  และกล่าวขึ้นว่า  เจ้ามันก็ดีแต่แก้ตัว  พร้อมกับสั่งให้สามเณรไปเก็บกวาดให้เรียบร้อย   สามเณรวัสวดีน้อยใจ  และช่ำใจที่อุตส่าห์ทำอย่างดี   แล้วยังถูกด่ากับถูกทำโทษอีก
       ขณะที่ทำความสะอาดไป  ก็ร่ำไห้ไปด้วยความคับแค้นใจ  จึงพูดเปรยๆออกมาว่า  ดีละถ้าท่านสมภาร  ถือว่าตนมีอำนาจข่มเหง ได้ก็ข่มเหงไป ถ้าหากข้าพเจ้าเกิดในชาติต่อๆ  ไปก็ขอให้เป็นผู้มีฤทธิ์และมีอำนาจ จนใคร่ๆ  สู้ไม่ได้ก็แล้วกัน 
       พอสามเณรกล่าวจบ  ก็ก้มกราบลงที่ฐานพระเจดีย์  โดยประกาศว่า เพื่อขอให้คำอธิษฐานเป็นความจริง  ข้าพเจ้าจะสร้าง  บอกไพขึ้นไว้จุดถวายเป็นพุทธบูชา   หลังจากนั้นสามเณรก็เริ่ม รวบรวมจัดหาถ่านกำมะถัน  ดินประสิว  กระบอกไม้ไผ่  รวมทั้งอุปกรณ์ต่างๆ   ฝ่ายศิษย์อื่นๆ 
        ที่ได้ยินสามเณรอธิฐาน  คำอาฆาต ได้จัดทำ  บอกไฟจุดเป็นพุทธบูชา  จึงนำความเรื่องนี้ไปแจ้งให้สมภารทราบ  พอสมภารทราบ ความจากคำบอกเล่า  ก็เฝ้าแต่ครุ่นคิดว่าตนจะแก้ไขอย่างไร  ในที่สุดก็คิดได้ว่า  บอกไฟที่ขึ้นสู่ฟ้า  ได้นั้นจำเป็นต้องใช้หวายคาดผูกให้แน่น  ท่านจึงสั่งให้ศิษย์ออกกว้านเก็บหวายที่มีอยู่ในละแวกนั้นจนหมดสิ้น
      เมื่อสามเณรออกไปหา   ปรากฏว่าหวายต่างๆ ที่มีอยู่ถูกสมภารเก็บเอาไปจนหมด   ทำให้ตนไม่สามารถหาหวายมามัดบอกไฟของตนได้   ถ้าขาดหวาย  บอกไฟก็ยิงไม่ขึ้น ความตั้งใจของตนคงต้อง   ล้มเหลว
     สามเณร จำใจต้องเข้าไปสารภาพผิดของตน   พร้อมกับขอหวายจาก   สมภารอาจารย์ของตน  ท่านสมภารตกลงจะให้หวายตามที่ต้องการแต่ขอให้รอสักประเดี๋ยวหนึ่ง   โดยขอให้สามเณรวัสวดี  ไปคอยอยู่ข้างนอก  พอสามเณรผู้เป็นศิษย์ เดินออกไป   ท่านสมภารก็จับหวายที่จะมอบให้   ยกขึ้นเหนือศีรษะ  พร้อมกับอธิฐานว่า           
      ดัวยสัจจะอธิฐาน  ที่ข้าพเจ้ากล่าวนี้ขออำนาจแห่งคุณพระเกศาธาตุเจ้า  จงดลบันดาลให้ ข้าพเจ้ามีอำนาจและฤทธิ์เดช  ยิ่ง กว่าสามเณร เปรียบประ ดุจหวายที่ผูกมัด  บอกไฟนี้ฉันใด  ที่บอกไฟจะมี
อำนาจฤทธิ์เดชขึ้นสูงเพียงใด   ขอให้อยู่ใต้อำนาจของหวายที่ผูกมัด บอกไฟไว้ฉันนั้น   พออธิฐานเสร็จ                                                                   
      ท่านสมภาร ก็อาหวายมาให้สามเณร  และบอกว่าถ้าต้องการ  เท่าไร  ก็เชิญเอาไปตามความ   ต้องการ  สาเณรก็นำหวาย   เหล่านั้นไปคาด และผูกมัดบอกไฟของตน  พอเสร็จสามเณรก็ จุดบอกไฟเป็นพุทธบูชา ดัวยอำนาจฤทธิ์ของบอกไฟ  ที่พุ่งสู้ท้องฟ้าในชาติต่อมา  จึงส่งผลให้สามเณรองค์นั้น  กลับมาเกิดเป็น  พญามาร   ผู้กระทำตนคอยเกะกะระราน  ผู้กระทำบุญกุศลทั้งหลาย    พระอุปคุตมหาเถระ  
                                             พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้                                                                                                                       
       เจ้าชายสิทธัตถะ เบื่อหน่ายในกามสุขจึงได้เสด็จ ออก ผนวช  แสวงหาทางหลุดพ้นจากกิเลส   โดยประทับอยู่ใต้ต้นไม้ศรีมหาโพธิ์   ที่ริมฝั่งน้ำเนรัญชรา และ ตั้งพระทัยมั่นว่า  หากไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้วจะไม่ลุกขึ้น  แม้ว่าเนื้อและเลือดในพระสรีระจะเหือดแห้งไปจนหมดสิ้น  คงเหลือแต่หนังหมุ้กระดูกก็ตามทำให้   บรรดาทวยเทพต่าง  ได้พากันมาห้อมล้อมพระหาบุรุษอยู่
       ฝ่ายพญามารได้  ไปจุติเป็นเทพชั้น  ปรนิมวัสวดี   แต่เป็นเทพผิดปกติคือ  ไม่ต้องการให้มนุษย์สร้างความดี   เมื่อเห็น   เจ้าชายสิทธัตถะ จะทรงตรัสรู้  ก็ทนไม่ได้  คิดว่าถ้าไม่ทำลายความ ตั้งใจของ   พระมหาบุรุษในครั้งนี้   ต่อไปก็จะพ้นจากอำนาจของตน    จึงได้รวบรวมเสนามาร และไพลพลทั้งหมด  ยกทัพมาหมายจะปราบ



   
  พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระผู้เมตตาต่อมหาชลเป็นอันมาก
โดยเนรมิตรูปกายให้น่าเกลียดน่ากลัวต่างๆ  นานา
พญามารนั้น  เนรมิตแขนซ้ายขวาข้างละห้าร้อย  ถืออาวุธต่างๆครบมือ    ทรงช้างครีเมขล์สูง ๒๒๐โยชน์   นำเหล่ามาร  มาทางทิศเหนือโห่ร้องกึกก้องเข้ามา   หวังจะฟาดฟันพระองค์ให้ได้       
        บรรดาเทพยดา  ในหมื่นจักวาล  ซึ่งมาห้อมล้อมปฏิบัติรักษาพระพุทธองค์โดยรอบ   พอได้ยินเสียง โห่ร้องสนั่นหวั่นไหว เข้าดังนั้น    ต่างสดุ้งตกใจกลัว  และพากันแยกย้ายหลบหนีไป   ฝ่าย  
        พระหาบุรุษ  ครั้นต้องถูกทอดทิ้งอยู่ตามลำพัง   หาผู้ใดเป็นที่พึ่งมิได้  จึงทรงรำลึกบารมี ๓๐ ทัศ โดยแบ่งออกเป็นทานบารมี ๑๐ ประการ คือ สละ ทรัพย์ภายนอก เช่น ศีล เนกขัม ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิฐานเมตตา และอุเบกขา   รองลงเป็น  อุปบารมี คือ สละอวัยวะ  เป็นทานสุดท้ายเป็น ปรมัตถ์บารมี  คือ  สละชีวิตเป็นทาน  อันเป็นทานสูงสุด  ซึ่งพระองค์ได้ทรงบำเพ็ญมาในอเนกชาติ    จึงมิได้ทรงหวาดกลัว  อานุภาพของพญามาร และ เสนามารเลย   แม้พวกเสนามารได้รับคำสั่งจากพญามาร ก็ไม่อาจเข้าไป 
      ทำอันตรายใดๆ   พระมหาบุรุษใกล้ๆได้   พระมหาบุรุษก็ยังคงประทับนั่ง   อยู่ที่เดิมโดยมิหวั่นไหว  พญามารเห็นบรรดาเสนามารมิอาจทำอันตราย  แก่พระมหาบุรุษได้   ก็โกรธคิดว่า  เราจะต้องใช้อาวุธ ๙ ประการ    
       ทำพระมหาบุรุษให้กลัว  แล้วหลบหนีไป  พอคิดได้ดังนั้นก็บันดาลให้เกิดพายุใหญ่  พัดมาแต่ทิศตะวันออก  มีกำลังแรงขนาดทำลายภูเขาสูงใหญ่ถึง ๑-๒โยชน์  ได้ดัวย ฤทธิของตน แต่พอลมนั้นพัดมาก็ไม่อาจทำให้ชายจีวรของ   พระมหาบุรุษให้ไหวได้  พอเห็นดั้งนั้นพญามารก็บันดาลให้มหาเมฆทำห่าฝน  ให้ตกลงมาน้ำฝนไหลนองไปทั่ว 
     แต่ก็ไม่อาจทำให้จีวรของ  พระมหาบุรุษ เปียกน้ำฝนแม้เพียงหยดเดียวต่อมาพญามารได้บันดาลให้ห่า  ศิลาตกลงมาทำลายยอดเขาน้อยใหญ่  จนบังเกิดเป็นเปลวไฟมีควันตลบขึ้นไปในอากาศ  แต่พอถึงพระมหาบุรุษ  ก็กลับกลายเป็นดอกไม้ทิพย์บูชาพระองค์ 
     ทำให้พญามารบันดาลห่าฝนอาวุธ วิเศษนานาชนิดตกลงมา และกลายเป็นเปลวไฟ  แต่เมื่อจะมาถึงพระวรกายของพระมหาบุรุษ ก็กลายเป็นดอก  ไม้ทิพย์บูชา พระมหาบุรุษ อีกพญามารเห็นดังนั้น ก็บันดาลให้ฝนถ่านเพลิงตกลงมา  ฝนถ่านเพลิงนั้นมีแดงร้อนราวกับไฟนรก  ปราศจากเปลวและควัน  แต่แล้วฝนถ่านเพลิงก็กลับกลายเป็น
     ทิพย์มาลาตกลงประดับบูชา  พระมหาบุรุษลำดับนั้นจึงบันดาลให้ฝนเถ้าร้อน อันร้อนแรงตกลงมา  แต่เถ้าร้อนนั้นกลายเป็นละอองทิพย์  ตกเรียงรายบูชาพระมหาบุรุษอีก
พญามารมองเห็นเช่นนั้น   จึงบันดาลให้ฝนทรายกรดอันละเอียดเป็นควันเป็นเปลวตกลงมาจากอากาศ  แต่ฝนทราย กรดนั้นก็กลับเป็นดอกไม้ และแก้วมณีตกลงทั่วบริเวณรอบ  พระศรีมหาโพธิ์ เมื่อพญามารทำอันใดต่อ พระมหาบุรุษ มิได้ก็ยอมแพ้ไปในที่สุด
     กล่าวกันว่า ก่อนเสด็จดับขันธ์ปรินิพาน พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เทศนาโปรด   นาคชื่ออปลาละ ช่างปั้นหม้อ  หญิงจัณฑาล และนางโคบาล  แล้วเสด็จสู่เมือง มถุรา ณที่นั้นได้มีพระดำรัสกับ พระอานนท์ว่า  ดูก่อนอานนท์  ณนครมถุรานี้อีกร้อยปีแต่ตถาคตนิพพานแล้ว  จะมีพ่อค้าขายน้ำหอม ชื่อคุปตะเขาจะมีบุตร  ชื่ออุปคุตซึ่งได้เป็นอนุพุทธ  ที่ปราสจากมหาปุริสลักษณะ  ท่านผู้นี้จะทำงานของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อไป     
       เทศนาของท่านจะช่วยให้ พระภิกษุเป็นอันมากเอาชนะกิเลสได้  จนเข้าถึงพระอรหัตผล พระอรหันต์  จะมีมากจนประมาณเต็มถ้ำ  อานนท์นอกจากนี้แล้ว พระอุปคุตรูปนี้  จะเป็นเอตทัคคะ ในบรรดาธรรมกถึก ทั้งหลายของเรา  ดูก่อนอานนท์   เธอแลเห็นเส้นทางยาวสุดสายตาโน้นไหม  ข้าพระองค์เห็นอยู่  พระพุทธเจ้าข้า นั้นแลอานนท์ คือภูเขาชื่ออุรุมมุณฑะ อีกร้อยปีแต่  ตถาคตนิพพานแล้ว
      พระภิกษุรูปหนึ่งชื่อ ศาณกวาสิน จะสร้างวัดขึ้นที่นั่น  แล้วจะให้  อุปสมบทแก่อุปคุต   อานนท์ นอกไปจากนี้แล้วที่นคร มถุรา  นี้จะมีนายช่าง คนเป็นพี่น้องกัน ชื่อ นาฎะ กับ ภฎะ  ซึ่งจะได้สร้างวัด บนภูเขาอุรุมมุณฑะ  วัดนี้จะชื่อว่า  นฎภฎิกะ จะเป็นอรัญญิกาวาสที่วิเศษสุดทั้งเตียงและตั้ง จะเหมาะสำหรับผู้เจริญวิปัสสนาธุระ
     ลำดับนั้นพระอานนท์เถระเจ้า ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าข้าแต่ พระองค์ผู้เจริญนับว่าวิเศษแท้ที่พระอุปคุตจะได้ทำสิ่งต่างๆให้เป็นคุณประโยชน์แก่มหาชน พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบว่า ดูก่อนอานนท์ไม่แต่เวลานั้นเท่านั้น
      แม้ในอดีตชาติ  ซึ่งบัดนี้หาร่างกายอันมิได้อีกแล้ว อุปคุตก็ได้ทำการที่นี้ เพื่อประโยชน์ของมหาชน  ในอดีตนั้นบนไหล่เขาทั้ง  ๓ ของภูเขาอุรุมมุณฑะ พระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๐ พระองค์อยู่  ณไหล่เขาแห่งหนึ่ง ฤาษี ๕๐๐ ตน อยู่ณ ไหล่เขาอีก  แห่งหนึ่ง วานร ๕๐๐ ตัวอยู่บนไหล่เขา ที่สามวันพญาวานร และบริวารทั้ง ๕๐๐ไปยังไหล่เขาที่          
       พระปัจเจกพุทธเจ้า  อาศัยอยู่เมื่อเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า  เหล่านั้นพญาวานร ได้บังเกิดศัทธาปสาทะนำใบไม้ที่ตกหล่นรวมทั้งรากไม้และผลไม้  ไปถวายเมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นเจริญสมาธิ  ภาวนา  พญาวานรได้กราบลงยังพระองค์สูงสุด แล้วไปทางซ้ายของพระองค์ ที่อ่อนอาวุโสตามลำดับ  พญาวานรได้นั่งสมาธิด้วยบ้างเหมือนกัน
      ไม่นานหลังจากนั้น  พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งสิ้นก็ได้เสด็จ  เข้าสู่มหาปรินิพพาน  พญาวานรยังเอาใบไม้ที่ตกลงแล้ว  รวมทั้งรากไม้และผลไปถวายพระคุณท่านอีก  แต่เมื่อท่านไม่รับประเคนพญาวานรจึงไปจับจีวร  แล้วจับเบื้องพระบาท  จึงรู้ว่าพระผู้เป็นเจ้าเหล่านั้น นิพพานเสียแล้ว
       พญาวานรเศร้าโศกเสียใจ  ร้องให้แล้วไปยังไหล่เขาอีกแห่งหนึ่งซึ่งฤาษีทั้ง ๕๐๐ พำนักอยู่  ฤาษีเหล่านั้นบางตนเอาหนามติดรอบกาย  บางตนมีเตียงเป็นขี้เถ้า บางตนยื่นมือชี้ฟ้า หรือไม่ก็ทรมานตนด้วยวิธีต่างๆโดยมีกองกูณฑ์ ๕ ล้อมรอบ (คือกองไฟทั้ง ๔ ทิศรอบตน และให้พระอาทิตย์แผดเผาอยู่เหนือศรีษะอีก ๑ )
    เมื่อพญาวานรทำลายตบะวิธีของ ฤาษีเหล่านั้นแล้วได้นั่งสมาธิต่อหน้าฤาษีเหล่านั้นฤาษีรายงานการกระทำของวานร  ให้อาจารย์ของพวกตนทราบอาจารย์จึงแนะให้บรรดาฤาษี  นั่งสมาธิบ้างฤาษีทั้ง ๕๐๐ ตน  จึงนั่งสมาธิ ด้วยบุญบารมีที่ได้บำเพ็ญมา ฤาษีเหล่านั้นก็เข้าใจ โพธิปักขิยธรรมทั้ง ๓๗ ประการ อันเป็นทาง
      นำไปสู่การ  ตรัสรู้  แล้วได้  ตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า  ต่อมาท่านเหล่านั้นดำริว่า เราได้บรรลุถึงพระบรมธรรมอันวิเศษสุด   เพราะอาศัยวานรตัวนี้นี่แล  บรรดาพระคุณเจ้า   เหล่านั้นจึงปรนนิบัติพญาวานร  ด้วยรากไม้และผลไม้ และเมื่อพญาวานรถึงกาลกิริยา  พระคุณเจ้าเหล่านั้นก็ปลงศพให้โดยใช้ไม้หอมมาประชุมเพลิง
       ดูก่อน  อานนท์  เธอรู้หรือไม่ว่าพญาวานรตนนี้แลคือ  อุปคุตแม้ในอดีตชาติ  อันรูปกายแตกทำรายขันธ์ไปแล้ว  ก็ได้ทำคุณให้แก่มหาชน  บนยอดเขา อุรุมมุฑะนี้ ในชาติต่อไปร้อยปีแต่   ตถาคตปรินิพพานล่วงไปแล้ว    อุปคุตก็จะมาทำการ  เพื่อประโยชน์แก่ มหาชนอีก    ที่แห่งเดิมนี้เอง
        เมื่อพระศาณกวาสินเถระ ให้สร้างวัดบนภูเขาอุรุมมุณฑะนั้น พระคุณเจ้ากำหนดจิตทราบว่าพ่อค้าน้ำหอม ที่ชื่อคุปตะได้ถือกำเนิดแล้วพระคุณเจ้าจึงกำหนดจิตต่อไปว่า บุตรของเขาที่ชื่อ อุปคุต ถือกำเนิดหรือยัง  เพราะมีพุทธพยากรณ์ว่า  เขาผู้นี้จักได้เป็นอนุพุทธ เพื่อประกอบกรณียกิจของ     
        พระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ร้อยปีแต่พุทธปรินิพ พาน  ล่วงแล้ว  และก็ปรากฏแก่ญาณว่าเขายังไม่มาเกิดด้วยกุศโลบาย  ในไม่ช้า  คุปตะพ่อค้าน้ำหอมก็มีความเลื่อมใส  ในพระธรรมคำสั่งสอนของ พระผู้มีพระ ภาคเจ้า วันหนึ่งพระศาณกวาสิน  ได้เข้าไปสู่คฤหาสน์ของเขา  พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่   แล้วอีกวันหนึ่งพระเถระเจ้าได้ไปกับ  ภิกษุ
     อีกรูปหนึ่ง  ครั้นวันที่สามพระคุณเจ้าได้ไปรูปเดียวเท่านั้น   เมื่ออุปตะ เห็นพระศาณกวาสินเถระมาแต่เพียงลำพัง  จึงถามขึ้นว่า เหตุไฉนพระผู้เป็นเจ้าจึงปราศจากปัจฉาสมถะ(ผู้คอยรับใช้)   พระเถระเจ้าตอบว่า  อาตมาผู้ซึ่งชราภาพครอบงำแล้ว  จำต้องมีผู้ติดตามด้วยหรือก็ถ้า 
     ใครคนใดคนหนึ่ง  ถึงพร้อมด้วยความเลื่อมใส และได้เข้ามาสู่เพศพรหมจรรย์  เขาผู้นั้นแลจึงควรเป็น ผู้อุปัฎฐาก  และติดตามอาตมา  พ่อค้าน้ำหอมตอบว่าข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าเป็นผู้ชอบอยู่ด้วยชีวิตของคฤหัสถ์  และยินดีในกามคุณทั้งห้า ไม่สมควรที่คนอย่างข้าพเจ้า จะออกบวช  เพื่อมีชีวิตอย่างสมถะแต่เมื่อใดข้าพเจ้ามีบุตร ข้าพเจ้าจะถวายให้เป็น อุปัฎฐากของพระคุณเจ้า  พระเถระเจ้าจึงกล่าวว่า ดีแล้วอุบาสกท่านต้องจำคำกล่าวนี้ไว้ให้มั่น ต่อมาคุปตะพ่อค้าน้ำหอมได้บุตร ซึ่งได้ชื่อว่าอัศวคุปต์ พอเด็กคนนี้โตขึ้น  ท่านพระศาณกวาสินได้ไปหา อุปตะแล้วกล่าวว่า  อุบาสกเคยสัญญาว่ามีบุตรแล้วจะอนุญาต  ให้เขาบวชอาตมาจะได้พาเขาไป   ให้ดำรงเพศพรหมจรรย์   พ่อค้าน้ำหอมตอบว่า  ข้า 
     แต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ  ข้าพเจ้ามีบุตรเป็นชายคนเดียว  ขอพระคุณเจ้า จงงดคนนี้ไว้ก่อน  เถิดหากข้าพเจ้ามีบุตรอีก  จะถวายคนที่สองให้เป็นศิษย์อีก คอยติดต่อมาพระคุณเจ้า
ลำดับนั้น  พระศาณกวาสินจึงกำหนดจิต  เพ่งดูว่าเด็กคนนี้คืออุปคุตหรือมิใช้   ครั้นทราบว่า
     ไม่ใช่พระคุณเจ้าจึงกล่าวว่า  ก็ได้ขอให้เป็นไปตามนั้น
ต่อจากนั้นมา  อีกไม่นาน คุปตะพ่อค้าน้ำหอม  ก็ได้บุตรอีกตั้งชื่อว่า ธนคุปต์พอเด็กคนนี้โตขึ้น  พระศาณกวาสินเถระเจ้า  ก็ได้ไปหาคุปตะอีก  พลางกล่าวว่า อุบาสก ท่านสัญญาว่าถ้าท่านมีบุตรเป็นชายอีก จะถวายคนที่สอง ให้เป็นศิษย์ คอยติดตามรับใช้  บัดนี้ท่านมีบุตรอีกแล้ว  จงยอมให้เขาบวชเพื่ออาตมา  จะได้ให้เขาดำรงสมณะเพศ  ภายในพระอาราม พ่อค้าน้ำหอมตอบว่า  ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ขอเว้นคนนี้ด้วยเถิด  คนโตต้องไปหาซื้อของจากเมืองไกล  คนที่สองต้องให้คอยเฝ้าเหย้าเรือน  ถึงอย่างไรข้าพเจ้า  ก็จะต้องมีบุตรชายเป็นคนที่สาม  แล้วจะถวายลูกคนนั้นแก่พระผู้เป็นเจ้าแน่
       พระศสณกวาสินกำหนดจิต  เพ่งดูว่าเด็กคนนี้ใช่อุปคุต หรือไม่ครั้นทราบว่าไม่ใช่จึงว่า  เป็นอันตกลงตามที่ท่านว่าในที่สุด คุปตะ  พ่อค้าน้ำหอมได้บุตรเป็นคนที่สาม  เป็นเด็กชายหน้ารักงดงามก่อ    ให้เกิดความยินดีแก่ผู้พบ เห็น  มีรูปลักษณ์ดีกว่า
    ใครๆมีเรือนร่างดังเทพเจ้า  เมื่อถึงกำหนดทำขวัญ ได้ตั้งชื่อว่า  อุปคุต  (ภาษาสันกฤษเขียนว่า อุปคุปต์ แปลว่า ผู้คุ้มครองรักษา) 
     เมื่อเขาเจริญวัยขึ้น  ท่านพระศาณกวาสิน  ได้ไปยังบ้านของอุปตะพ่อค้าน้ำหอมอีก  แล้วกล่าวว่า  อุบาสก  ท่านสัญญาว่า  เมื่อมีบุตรชายคนที่สาม  จะถวายให้เป็นศิษย์   คอยติดตามอาตมา  บัดนี้ท่าน
     มีบุตรคนที่สามแล้ว จงอนุญาตให้เขาบวชเถิด  อาตมาจะได้ให้เขาได้เป็นสมณะ ดำรงเพศพรหมจรรย์ คุปตะกล่าวว่า ตกลงพระคุณเจ้า เมื่อใดลูกคนนี้ไม่เป็นผลในทางกำไลหรือขาดทุน ข้าพเจ้าจะให้เขาบวชได้
    เมื่อตกลงกันเช่นนี้ไม่นานนักพญามารได้เข้ามาทำนคร มถุรา ให้เต็มไปดัวยกลิ่นเหม็นชาวเมืองจึงพากันมา  ซื้อน้ำหอมจาก  อุปคุตซึ้งขายได้กำไรมาก พระศาณกวาสินได้ไปหาอุปคุต  ผู้ซึ้งกำลงขายน้ำหอมอยู่อย่าง
   ตรงไปตรงมา ที่ตลาด  พระเถระพูดกับเขาว่า ลูกเอ๋ยสภาพทางจิตของเจ้าเป็นไฉน   เป็นกุศลหรืออกุศล   อุปคุตตอบว่า  ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ  ข้าพเจ้าไม่รู้เลยว่า สภาพอย่างไหน  เป็นกุศล  อย่างไหนเป็นอกุศลท่านพระศาณกวาสินจึงบอกว่า  ลูกเอ๋ย  ถ้าเจ้าจับความคิดได้แม้ชั่วขณะหนี่ง   เจ้าก็สามารถชนะอุปสรรคได้
     ว่าแล้วพระเถระเจ้า  ก็ให้ขาวและผ้าดำ  อย่างละหลายๆผืน  แล้วสอนเขาว่า ถ้าความคิดเกิดในทางอกุศลเกิดขึ้น  จงวางผ้าดำลง ถ้าความคิดในทางกุศลเกิดขึ้น  จงวางผ้าขาวลงให้เจริญ อสุภกรรม ฐาน  และพุทธนุสติกรรมฐาน
    เพราะเหตุในทางความคิด  ในทางอกุศลเกิดขึ้นบ่อย  อุปคุตจึงวางผ้าดำลงสองผืน   กว่าจะวางผ้าขาวลงผืนหนึ่ง  แต่ภาวนาอยู่ได้ไม่นานเขาก็วางเพียงผ้าดำครึ่งผืน  ผ้าขาวครึ่งผืนจากนี้ก็สามารถ วางผ้าขาวได้ ๒ ผืน  ก่อนจะวางผ้าดำลงได้ผืนหนึ่ง และแล้วความคิดของเขา ก็บริสุทธิ์ผุดผ่อง   จนวางลงแต่เพียงผ้าขาวเท่านั้น  อุปคุตค้าขายตากระแสแห่งพระธรรมนั่นเอง
                             
                              นางวาสวทัตตา
       ในนคร มถุรามีคณิกานางหนึ่งชื่อนามวาสวทัตตาวันหนึ่งสาวใช้ของนางได้ไปซื้อ น้ำหอมกับอุปคุต เมื่อสาวใช้ กลับมา  แล้ววาสวทัตตา  ได้กล่าวกับนางว่า  สาวน้อย เจ้าคงไปโกงพ่อค้ามา เพราะเจ้าเอาน้ำหอมมามากเสียเหลือเกินสาวใช้ตอบว่า นายหญิงบุตรพ่อค้าน้ำหอมชื่ออุปคุต เป็นชายหนุ่มรูปงาม ทั้งเฉลียวฉลาดและสุภาพน่ารัก  ได้ขายให้อย่างตรงไปตรงมา
      เมื่อวาสวทัตตาได้ยินเข้า นางเกิดความปฏิพัทธ์ในตัว อุปคุต นางส่งสาวใช้กลับไปหาเขา ให้บอกแก่เขาว่านางจะไปพบด้วย  ต้องประสงค์จะหาความสุขสำราญ กับเขา แต่เมื่อสาวใช้ เอาความข้อนี้ไปบอกแก่เขา อุปคุตเพียงตอบว่ายังไม่ถึงเวลา ที่นางจะได้พบเขา ราคาค่าตัวของนาง วาสวทัตตานั้น ๕๐๐ ตำลึงทอง
       นางดำริว่าอุปคุตคงไม่มีเงินเพียงพอ นางจึงส่งสาวใช้ให้กลับไปใหม่ให้บอกเขาว่านางไม่ต้องการ เงินแม้แต่เหรียญกษาปณ์เดียว  จากเขานางเพรียงต้องการ ความสุขจากเขา  เท่านั้น  แต่เมื่อสาวใช้กลับไปบอกความข้อนี้แก่ อุปคุต  
เขาก็ยืนยันตามเดิมว่า ยังไม่ถึงเวลาที่นางจะได้พบเขา ต่อแต่นั้นมาอีกไม่นาน บุตรนายช่างคนสำคัญผู้หนึ่งได้มาพัก
        ณ สำนักของนางวาสวทัตตา พอดีมีพ่อค้าจับม้าป่าได้ ๕๐๐ ตัว จากทางภาคเหนือ  เอามาขายในนคร มถุราพ่อค้านั้น  ถามว่านางคณิกา   คนใดยอดเยี่ยมที่สุดในที่นี้    ครั้นได้ทราบว่า  ชื่อนางวาสวทัตตา  พ่อค้าคนนั้นจึงนำเงิน ๕๐๐ ตำลึงทอง พร้อมด้วยของขวัญอันมีค่ามากมาย  มุ่งไปสู่สำนักของนาง
      เมื่อนางวาสวทัตตาได้ข่าวการมาของเขา  โลภจริตของนางได้กำเริบขึ้น  นางจึงได้ทุบตีบุตรนายช่าง  แล้วเอาไปใส่ไว้ในกองมูลฝอย  แล้วนางก็มาหาความสุขสำราญกับพ่อค้าม้า เมื่อญาติของนายช่าง ได้ทราบเรืองราวเข้าพากันไปเอาเด็กหนุ่มคนนั้น มาจากกองมูลฝอย  แล้วนำเรื่องนี้ไปทูลฟ้องพระราชา
       พระราชาจึงโปรดให้  ราชบุตรไปจับตัวนางวาสวทัตตา  มาเพื่อตัดมือ ตัดเท้า ตัดจมูก ตัดหู แล้วนำไปทิ้งไว้ที่เชิงตะกอน ครั้นเมื่ออุปคุต ได้ทราบ เขาจึงดำริว่าก่อนนี้นางประสงค์จะพบเราด้วยเหตูผลในทางกาม  บัดนี้ มือ เท้า จมูก และหูของนาง  เขากล่าวเป็นคาถาว่า เมื่อเรือนร่าง ของนางปกคลุมด้วยเสื้อผ้าอันวิจิตรประดับด้วยอาภรณ์อันมีค่าต่างๆ ผู้ที่ต้องประสงค์จะออกจาก   วัฏสงสารเพื่อการไม่เกิด  อันจะได้เข้าสู่โมกขธรรมเขาผู้นั้นไม่ควรไปพบนาง
       แต่บัดนี้ นางปราศจากความยิ่งผยองแล้ว แม้ราคะตัณหาและกามฉันทะก็ถูกคมมีดกรีดเสียจนมีแต่ความเจ็บปวดนี้แลคือเวลาที่ควรไปหานาง จะได้เห็นนางตามสภาพที่จริงโดยธรรมชาติ อุปคุตออกเดินทางไปสู่เชิงตะกอน เพียงมีบ่าวตามกางร่มไปให้แต่ผู้เดียว เขาไปด้วยความสงบ และมีมนสิการในทางธรรมดังสมณะ ทาสีของนางวาสวทัตตา 
       ผู้ซึ่ง ระลึกถึงคุณความดี  ของนายหญิงมาก่อน   ยังคงอยู่กับนางคนนี้  เพื่อคอยไล่ฝูงกาและนกอื่นๆ ที่ชอบกินศพเป็นอาหาร เมื่อนางทาสีเห็น  อุปคุต เดินมา   จึงบอกนางวาสวทัตตาว่า  ข้าแต่นายหญิง  อุปคุต ที่นายหญิงเคยส่ง
      ข้าพเจ้าไปเชื้อเชิญ  เขาครั้งแล้วครั้งเล่านั้น  บัดนี้เขามาถึงที่นี่แล้ว  เขาย่อมต้องมาเพราะกระตุ้นแห่งกามตัณ หาโดยแท้ เมื่อนางวาสวทัตตา ได้ยินความข้อนี้จึงกล่าวว่า    เขาจะมีตัณหาหรือราคะได้อย่างไร เมื่อเขาเห็นข้าที่เชิงตะกอนมีตัวเปื้อนเลือด  ความงามไม่เหลืออีกแล้ว มีแต่ความทุกข์ทรมานนางบอกทาสี ให้เก็บเอามือเท้าจมูก และหูที่ถูกตัดออกมาจากกาย มาห่อรวมไว้เมื่ออุปคุตมาถึง และยืนอยู่หน้า
     นางวาสวทัตตาซึ่งแลเห็นเขายืนอยู่ จึงกล่าวว่า   ข้าแต่พนายเมื่อร่างกายของดิฉันยังไม่เสีย รูปทรงและดิฉันมุ่งทางกามฉันทะ ดิฉันได้ส่งสาวใช้ไปเชื้อเชิญท่านซ้ำแล้วซ้ำเล่า  แต่ท่านก็บอกว่า  น้องหญิง ยัง
ไม่ถึงเวลาจะพบฉัน  มาบัดนี้  มือของ  ดิฉัน  เท้าของดิฉัน  จมูกของดิฉัน และหูของ
        ดิฉัน  ถูกตัดออกหมดแล้ว   ดิฉันนั่งจมกองเลือดของตนเองอยู่  แล้วทำไม่ท่านจึงไม่มาหาดิฉันเล่า  เธอกล่าวเสริมต่อว่า  เมื่อร่างกายดิฉันเหมาะ สมควรแก่การทอดทัศนาอ่อนนุ่นดังดอกบัว  ประดับไปด้วยเสื้อผ้า และอาภรณ์อันหาค่ามิได้  แต่แล้วเป็นที่น่าเสียดายนัก  ที่ดิฉันไม่ได้พบท่านทำไมท่านจึงมาดูแลดิฉันในบัดนี้  ในขณะที่ร่างกายของดิฉันไม่ควรที่จะมีใครมาแลมอง
        ด้วยมีแต่เลือดและโคลนตล้อมรอบกาย อันน่า     สะพรึงกลัวร่างนี้ไม่มีอะไรให้น่า  พิศมัยไม่น่าสนุกไม่น่าหฤหรรษ์และไม่น่า เกิดสุขอีกแล้ว อุปคุตตอบว่าน้องหญิงฉันไม่ได้มาหาเธอเพราะแรงกระตุ้นแห่งตัณหา หากฉันมาดูสภาพที่แท้ของธรรม ชาติที่ห่อหุ้มร่างกายไว้ด้วยกิเลสและตัณหาเมื่อเธอห่อหุ้มร่างไว้ด้วย พัสตราภรณ์ และเครื่องประดับภายนอกอื่นๆ  อันมีค่า  ย่อมช่วยยั่วยวนให้เกิดตัณหาแก่
      ผู้ซึ่งมองดูเธอ เพราะเขาแลไม่เห็นเธอตามสภาพที่แท้จริง แม้เขาจะพยายามเพ่งพินิจก็ตามแต่บัดนี้ เธอปลอดจากเครื่องล่อลวงต่างๆ แล้วอาจมองเห็นร่างของเธอได้   ตามสภาพที่แท้จริง คนที่แสวงหากามสุขจากเรืองร่างอัน หยาบนี้ช่างโง่เขลาเสียจริงๆ ใครเล่าจะมีความรู้สึกต่อร่างกาย  
      ซึ่งมีแต่หนังห่อหุ้มไว้เต็มไปด้วยกองเลือดรอบๆตัว  ทั้งยังเปื้อนผิวหนัง  ด้วยแลเห็นเนื้อเป็นก้อนๆโยงไปยังกล้ามเนื้อและเส้นยิ่งไปกว่านี้คนพาล แลเห็นความสวยงามจากรูปภายนอกแล้ว ย่อมเกิดปฏิพัทธ์ผูกพันโดยที่เขาควรจะรู้ว่าภายในนั้น เน่าเหม็น  ผู้รู้จึงไม่ยึดติดในสิ่งเหล่านี้  ซากศพย่อมโสโครกและน่าเกลียด
      โดยที่ความบริสุทธิ์จะมีได้  ก็ต่อเมื่อระงับตัณหาเสียได้  ผู้ซึ้งระงับยับยั้งได้ก็จะรู้ว่า  ที่แท้กลิ่นเหม็นย่อมประกอบไปด้วยกลิ่นหอม เป็นอันมากที่รวมตัวกัน แม้น้ำหอมก็คือการกันของความบริสุทธิ์ การเอาเสื้อผ้าและเครื่องประดับมา สวมใส่ นั้นช่วยได้แต่การแสดงออกภายนอกเท่านั้น   แต่ความโสโครกภายในหาแก้ไขอะไรได้ไม่  โดยที่เหงื่อไคลและฝุ่นละออง ก็ยังมีอยู่กับร่างกาย แม้จะชำระล้างได้ดัวยน้ำ เป็นครั้งคราวก็ตามด้วยเหตุฉะนี้  
       คนพาลจึงหลงอยู่กับโครงกระดูก  อันน่าโสโครก ด้วยไปยึดติดกับ  ตัณหา  สำหรับผู้ที่ละตัณหาเสียได้  ย่อมรู้ว่านั่นคือการคลุกเคล้า  ไปด้วยความน่าเบื่อ   ความโศกและความทุกข์นี่มิใช่สิ่งที่วิญญูชน จะพึงสรรเสริญเขา  ย่อมออกสู่ป่าอันสงัดมีจิตใจมุ้ง ไปสู่ความพ้นทุกข์ละเสียซึ่งตัณหา  เพื่อเขาจะข้ามพ้นไปสู่ฝั่งโน้นละเสียได้ จากโอฆะสงสาร  การเวียนว่าย ตาย เกิด  เขาย่อมจะถือเอามรรค  เป็นนาวาย่อมสดับและประพฤติปฏิบัติตาม
      พระวจนขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงพระคุณพระคุณอันประเสริฐ  เมื่อนางวาสวทัตตาได้ยินคำกล่าว นางรู้สึกสะพรึงกลัวในวัฏสงสารจิตใจของนางอ่อนน้อมและสงบลง     เมื่อรำลึกถึง พระพุทธคุณ  นางรำพันขึ้นว่าที่ว่ามานั้นสมควรแก่คำของท่าน ผู้เป็นปราชญ์  พอดิฉันได้พบท่านก็ได้รับพระคุณจากท่านให้ได้ยิน  พระพุทธวจนะอุปคุตจึงเริ่มเทศนาอนุปุพิกถา  ให้นางเข้าใจในเรื่องของ ทาน ศีลภาวนา โทษของกาม และทางออกจากกาม ตัวเขาเองก็เข้าใจซึ้งถึงธรรมชาติ ที่แท้จริงแห่งร่างกาย  ของนางวาสวทัตตาจนเกิดความรังเกียจใน
        กามภพการที่เขาใจในสัจธรรมนั้น ก็ด้วยการที่เขาแสดงธรรมนั่นเอง  อุปคุตได้สำเร็จเป็นพระอนาคามี ณที่นั้นเอง  โดยที่นางก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน  เมื่อนางได้ดวงตาเห็นธรรมนางได้รำพันบุญคุณของ  อุปคุตว่าขอขอบพระ   คุณท่านที่ช่วยให้ดิฉันพ้น จากอบายภูมิอันน่ากลัว และการไปสู่ภพใหม่อันต่ำทรามอันจักต้องทุกข์ทรมานยิ่งนัก   บัดนี้สุคติภูมิได้เปิดให้ดิฉันแล้ว และดิฉันก็มีโอกาส
        ไต่เต่าตามกระแสพระอริยะมรรค  สู่พระนิพพานด้วยจากนั้นนางได้บอกเขาว่า  บัดนี้ข้าพเจ้าขอถึง พระพุทธเจ้าตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นสรณะพร้อมด้วยพระธรรมและสงฆ์  นางได้พรรณาต่อไปอีกว่าข้าพเจ้าขอถือพระชินเจ้าเป็นสรณะ พระชินเจ้านั้นมีพระเนตร อันสุกสกาวเบิกบานดังดอกบัวแรกแย้ม ทรงแวดล้อมไปด้วยหมู่อมร
       พระมุนี ข้าพเจ้าขอถือเอาพระอริยสงฆ์เป็น สรณะด้วย    เมื่ออุปคุตแสดงธรรมแก่นาง  วาสวทัตตาจบลงแล้วก็กลับไปจากนั้นไม่นาน  นางก็ถึงกาลกิริยา แล้วไปเกิดในหมู่ทวยเทพ ในนครมถุรา บรรดาเทวดาประกาศว่า   เมื่อนางวาสวทัตตาได้ฟังอุปคุตแสดงธรรมแล้วนั้น นางได้ดวงตาเห็นธรรม บัดนี้นางได้ตายไปแล้ว และได้เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
      เมื่อชาวเมือง  นคร มถุรา  ได้ยินคำของทวยเทพ   ชาวเมือง  จึงพากันไปบูชาสักการะรูปกายของ นางวาสวทัตตาอุปคุตออกบวช ลำดับนั้นท่าน พระศาณกวาสินได้ไปยังคุปตะพ่อค้าน้ำหอมพลางกล่าวว่าจงอนุญาตเถิด
        อาตมาจะได้ให้ อุปคุตบวช คุปตะตอบว่าข้าแต่พระเจ้าผู้เจริญข้อตกลงมีอยู่ว่าเมื่อ ข้าพเจ้าไม่ได้กำไรหรือขาดทุน  จะย่อมอนุญาตให้เขาบวช พระศาณกวาสินเถระจึงใช้อิทธิฤทธิ์ ไม่ไห้คุปตะได้กำไรหรือขาดทุน คุปตะนับแล้วชั่งก็แล้วตวงก็แล้วไม่ปรากฏว่าเขาได้กำไรหรือขาดทุน
       พระศาณกวาสินเถระ จึงบอกเขาว่า  แท้จริงแล้วพระผู้มีพระภาคเจ้า   ได้ทรงมีพุทธพยากรณ์ ไว้เกี่ยวกับลูกชายของท่าน  พระองค์ตรัสว่า ร้อยปีแต่ปรินิพพาน  ไปเขาผู้นี้แหละ  จะรับงานของพระบรมศาสดา มาดำเนินต่อไปขอให้ อาตมาได้บวชให้เขาเพื่อทำกิจของพระศาสนาเถิด ในที่สุดคุปตะพ่อค้าน้ำหอม  จึงยอมอนุญาตให้อุปคุตบวชพระศาณกวาสินจึงพาอุปคุตไปยัง  วัดนฏภฏิกะอรัญญิกาวาส  ให้รับการอุปสมบทเป็น  พระภิกษุท่านพระอุปคุต  ได้ปฏิบัติจนสามารถชนะกองกิเลสได้หมด ตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ขีณาสพองค์หนึ่งในโลก
       พระศาณกวาสินเถระเจ้า  จึงกล่าวว่า ดูก่อน อุปคุต ผู้เป็นสัทธิวิหาริก  พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพุทธพยากรณ์ไว้ว่า  เกี่ยวกับตัวเธอ พระองค์ตรัสว่าร้อยปีแต่พุทธปรินิพพาน จะมีภิกษุชื่อว่า อุปคุต ซึ่งจะตรัสรู้เป็นอนุพุทธ  แล จะรับพุทธกิจมากระทำต่อไป โดยจะได้เป็นเอตทัตคะในบรรดา   ธรรมกถึกทั้งหลาย  ฉะนั้นขอเธอ
       จงยังกิจเพื่อสัตถุศาสนาเถิดพระอุปคุตรับคำว่า  สาธุพระคุณเจ้า พระเจ้าศรีธรรมมาโศกราชสร้างพระสถูปเจดีย์ เมื่อพระเจ้าศรีธรรมมาโศกราช  ทรงสร้างพระสถูปเจดีย์  เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุจำนวน ๘๔,๐๐๐ องค์  ครั้นบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ  เรียบร้อยแล้วทรงมีพระราชประสงค์ จะจัดงานฉลองสมโภชพระมหาเจดีย์ ให้สมพระราชศรัทธา โดยจะจัดฉลองเป็นเวลาถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วันทรงเห็นว่า
       งานสมโภชพระมหาธาตุนี้เป็นงานใหญ่เกรงว่าจะมีอันตราย   และความขัดข้องทรงข้อให้คณะสงฆ์หาทางช่วยป้องกันโดยขอให้คัดเลือกพระเถระผู้มีความสามารถมาช่วย ป้องกันภัยอันตราย พระเถรานุเถระทั้งหลายเข้าญาณพิจารนา ก็ทราบ  ด้วยญาณของตนเองว่า ภัยจะเกิดมีเนื่องในงานสมโภชพระมหาเจดีย์ครั้งนี้ต่างก็หาผู้ช่วยป้องกัน
        พระเถรานุเถระประมาณกำลังตน  ก็รู้ว่าไม่สามารถ และก็รู้ว่ามีพุทธพยากรณ์ไว้แล้วว่า  ท่านพระมหาอุปคุตเถระเจ้ามีหน้าที่ในการนี้ โดยเฉพาะ จึงไม่มีพระเถระองค์รับภาระป้องกัน พระเถระทั้งหลายจึงให้พระภิกษุหนุ่ม ๒ รูปผู้ทรงอภิญาณสมาบัติไปอาราธนา    
       พระอุปคุตมหาเถระ (ชื่อเต็มว่า พระกีสะนาคะอุปคุตมหาเถระ) มาสู่ที่ประชุม พระภิกษุหนุ่ม ๒ รูปนั้น จึงเข้าญาณสมาบัติระเบิดน้ำลงไปหาท่านพระอุปคุต แล้วแจ้งให้ทราบว่าบัดนี้ พระเถระทั้งหลายมีบัญชาให้ข้าพเจ้าทั้งสองมาอาราธนาพระคุณท่าน ไปร่วมประชุมเพื่อปรึกษางาน พระพุทธศาสนา
        พระอุปคุตมหาเถระทราบ สังฆบัญชาเช่นนั้นคิดว่าจะต้องไปร่วมประชุมในครั้งนี้ จะขัดสังฆบัญชาไม่ได้  ต้องเคารพอำนาจแห่งหมู่สงฆ์  และงานนี้ก็เป็นงานพระพุทธศาสนาครั้นดำริดังนั้นแล้ว พระอุปคุตเถระจึงบอกภิกษุ ๒รูปนั้นว่าท่านจงกลับไปก่อนเถิด เราจะตามไปที่หลังพระภิกษุหนุ่ม ๒ รูปนั้นกราบลาเดินทางล่วงหน้ามาก่อน
        พระอุปคุตจึงเข้าฌาญสมาบัติมาถึง สำนักพระเถรานุเถระทั้งหลายก่อนพระภิกษุหนุ่ม ๒ รูปนั้นอีก
พระสังฆ์เถระประชุมสงฆ์ จึงกล่าวแก่พระอุปคุตว่า คณะสงฆ์จะลงทัณฑ์กรรมแก่ท่าน  เพราะความผิดที่ท่านไม่สามารถสังฆกรรม   ทำอุโบสถฟังพระปาติโมกข์ร่วมกับคณะสงฆ์ พระอุปคุตจึงกล่าวว่าข้าพเจ้ายินดีรับทัณฑ์กรรมที่คณะสงฆ์ 
        จะลงโทษขอพระคุณเจ้า แจ้งมาว่าจะให้ข้าพเจ้าทำประการใด พระสังฆ์เถระประชุมสงฆ์แล้วว่า บัดนี้พระเจ้าศรีธรรมมาโศกราช ทรงปรารถนาจะทำการสมโภชพระเจดีย์ ที่บรรจุพระบรมธาตุ ๘๔,๐๐๐ องค์ที่ทรงสร้างไว้   ในชมพูทวีปทั้งหมด  ต้องใช้เวลาถึง ๗ ปี๗ เดือน ๗ วัน ให้สมพระราชศรัทธา  แต่เกรงว่าการสมโภชอันมีเกียรตินั้น  จะไม่พ้นภัย เกรงว่าพญามารจะขัดขวางทำลายไม่ให้   
        ราชพิธีสมโภชนั้นไปด้วยดี  พระศรีธรรมมาโศกราช  ตรัสให้คณะสงฆ์ช่วยป้องกัน  พวกมีใคร่ความสารถจะช่วยได้  เห็นมีแต่ท่านผู้เดียวฉะนั้น คณะสงฆ์จะลงทัณฑ์กรรมแก่ท่านโดยให้ท่านเป็นธุระป้องกันภัยอันตราย ในงานสมโภชครั้งนี้ เพราะท่านห่างเหิน การปกครองของคณะสงฆ์ และ ไม่มาร่วมทำอุโบสถสังฆกรรม ตามพระราชบัญญัติ
        พระอุปคุตจึงยอกรอัญชลีสงฆ์  ก้มลงกราบแล้วกล่าวว่า  ข้าพเจ้ายินดีรับทัณฑ์กรรมนั้น เมื่อได้ผู้ป้องกันภัยอันตรายในการบำเพ็ญกุศลแล้ว  พระเถรานุเถระทั้งหลายก็วางใจ
คณะสงฆ์โดยมี  พระโมกคัลลีบุตร  ติสสะเถระ เป็นประธานจึงถวายพระพรให้พระเจ้าศรีธรรมมาโศกราช  ทรงโสมนัสยิ่งนัก
       แต่ครั้นทอดพระเนตรเห็นองค์พระอุปคุตมหาเถระเจ้า  แล้วก็ทรงหนักพระหฤทัย   เพราะท่านมีร่างกายผ่ายผอม   แทบจะปลิว  ไปตามลมครั้นรุ่งเช้าทอดพระเนตรเห็น  พระอุปคุต  เดินไปบิณฑบาตทรงมีพระราชบัญชา สั่งให้พนักงานเลี้ยงช้างปล่อยช้างตกมันไล่ พระอุปคุตมหาเถระเพื่อทดสอบ
       พระอุปคุตมหาเถระเห็นช้างวิ่งไล่มาข้างหลัง จึงเข้าฌาญสมาบัติอธิฐานจิต ให้ช้างตัวนั้นแข้งดุจหินไม่ขยับเยื้อนได้  พระเจ้าศรีธรรมมาโศกราชทอดพระเนตรเห็นดังนั้นจึงทรงขอขมา และทรงพอพระหทัยยิ่งนัก เกิดความเคารพนับถือ พระมหาอุปคุตเป็นอันมาก ครั้นได้มงคลฤกษ์  จึงเริ่มพิธีสมโภช พระมหาเจดีย์ตามพระราชประสงค์
       ดั่งนั้น พญามารวัสวดีมาราธิราช ทราบงานพิธีของพระเจ้าศรีธรรมมาโศกราช จึงเกิดความไม่พอใจ คิดจะทำลายพิธีนั้นจึงแสดงอิทธิฤทธิ์ให้บังเกิด  มหาวาตะพายุอย่างแรง  มีกำลังอย่างแรง  มีกำลังพัดมาประหนึ่งจะถล่มแผ่นดินให้ทลาย พระอุปคุตมหาเถระเห็นอากาศวิปริตอย่างนั้นก็ทราบชัดด้วยญาณอันประเสริฐของท่านว่า
        บัดนี้พญามารมาทำลายพิธีแล้ว   ท่านจึงเข้าญาณสมาบัติโดยพลันอธิฐานให้เกิดเป็นเหมือนกัน   ลมของพญามารก็พ่ายแพ้   พญามารก็แผลงฤทธิ์ใหม่เป็นลมกรด  เป็นเพลิง เป็นทรายเพลิงเร่าร้อนด้วยไฟและประการอื่นอีกหลายอย่าง  พระอุปคุตก็เข้าญาณสมาบัติแก้ได้ทุกอย่าง   จนพญามารเกิดโทสะแรงกล้า พยายามจะทำลายล้างพระมหาเถระ จึงปรากฏตัวเป็นพญามารเข้าไปใกล้                 
       พระอุปคุตมหาเถระ เห็นว่าพญามารนี่ เกเรมากคอยแต่จะทำลายคนทำบุญ ทำกุศลคนประพฤติดีไม่ชอบไม่อยากเห็นความดีของผู้ใด  มีปกติริษยาความดีของผู้อื่นไม่มีใจอนุโมทนาของผู้ใด
    พระอุปคุตมหาเถระเจ้า  พิจารณาเหตุการณ์นี้ด้วยญาณ  ก็ทราบว่าพญามาร เป็นต้นเหตุ ดังนั้นในวันที่สองมหาชน ได้มายัง นครมถุราคิดว่า ขณะที่ พระอุปคุตแสดงธรรม จะมีไข่มุกหล่นลงมา ดังห่าฝนครั้นถึงเวลาเทศน์  ขณะพระอุปคุตยุติการแสดงธรรมทีละขั้น  (อนุปุพพิกถา) ก่อนบรรยาย   เรื่องพระอริยสัจ พญามารก็บัดดาลให้ทองตกลงมาสู่ที่ประชุมจิตของผู้ที่มีกำลัง 
       น้อมนำเข้าหาพระศาสนาย่อมผันแปไป  จนไม่มีใครได้แลเห็น สัจจะธรรมเลย พระอุปคุตได้พิจารณาเหตุการณ์นี้อย่างแยบคายอีก  ว่าใครหนอ เป็นตัวการทำลายพุทธพิธี   ก็ทราบว่าพญามารมาขัดขวาง  การแสดงธรรมของท่าน ครั้งนี้  ถึงวันที่สาม มหาชน ได้มาประชุมกันมากกว่า วันก่อนอีกต่างพากันคิดว่า   
       เวลาพระอุปคุตเทศนา ไข่มุกและทองคำจะตกลงมา  เมื่อถึงตอนแสดงธรรม จนจบขั้นอนุปุพพิกถาแล้วกำลังจะเริ่มอธิบายพระอริยะสัจจ์  พญามารก็เริ่มแสดงฤทธิ์ ไม่ไกลไปจากที่ประชุมชนให้บังเกิดการแสดงเทพศาสตรา  และนางอัปสรออกมาร่ายรำ มหาชนในที่นั้นก็พากันสนใจดู นับว่าพญามารได้ล่อล่วง มหาชนให้ออกจากพระศาสนาได้สำเร็จ  พญามารพอใจที่ได้ดึงเอาชุมนุมชน
       ออกจากพระอุปคุต ไปสู่อำนาจตนจนถึงกับ พญามารได้ใจเอาพวงมาลัยไปคล้องคอ ท่านพระอุปคุต พระอุปคุตจึงกำหนดจิตทราบว่า เป็นพญามารพระเถระเจ้าจึงตรึกตรองต่อไปว่า พญามารตนนี้ก่อเหตุทำร้าย  พระธรรมคำสั่งสอนของ พระผู้มีพระภาคเจ้า และแล้วพระคุณเจ้าก็ดำริว่า   อาตมาจะต้องทำให้พญามารหันมาสมาทาน ศีลสิกขาในพระศาสนาให้จงได้
       เพราะเรื่องปรามมารอันจำเป็น คุณแก่สรรพสัตว์นี้เอง  พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงมีพุทธพยากรณ์เกี่ยวกับอาตมาว่า  เป็นอนุพุทธ ลำดับนั้น พระอุปคุตจึงกำหนดจิตดูว่า ถึงเวลาที่พญามารจะหัน เข้ามาถือพระศาสนาได้หรือยัง และก็แจ้งแก่ญาณว่าถึงเวลาแล้ว พระคุณเจ้าจึงนำร่างมาสามร่าง เป็นร่างงูตาย  ๑ สุนักตาย ๑ คนตาย ๑  และด้วยอิทธิวิธี พระเถระเจ้าเนรมิตร่างทั้งสามนั้น ให้เป็นพวงมาลาสุคันธชาติ   แล้วพระเถระเจ้าจึงได้ไปหาพญามาร
     เมื่อพญามารเห็นพระเถระเจ้า  พร้อมด้วยพวงมาลัย  ดอกไม้ก็พอใจมาก คิดว่าเอาชนะพระอุปคุตได้แล้ว  พญามารจึงแสดงตนออกมาปรากฏ  พอพระอุปคุตได้มอบพวงมาลัยให้  แต่แล้วพวงมาลาก็กลายสภาพ เป็นร่างศพทั้ง ๓ ร่าง  แล้วท่านพระอุปคุตจึงกล่าวว่า ดุจดังที่ท่านเอาพวง มาลาสวมให้อาตมาซึ่งไม่เหมาะสมกับสมณะอาตมาจึงเอาร่างทั้งสามนี้มาร้อยรัด
      ท่านไว้ด้วยร่างดังกล่าว   ก็ไม่เหมาะสมสำหรับผู้ที่กระหายในกามเช่นกัน  จงแสดงฤทธิ์ของท่านออกมาเถิด  วันนี้ท่านได้เผชิญหน้ากับศิษย์ของพระศากยมุนี  แม้เทวดา อินทร์ พรหม  ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ใดๆ ก็หาช่วยท่านไม่ได้
       พญามารได้ยินดังนั้น  จึงพยายามเอาร่างทั้งสามออก  แต่ด้วยอานุภาพแห่งพระอุปคุตมหาเถระเจ้า ย่อมอาจสลัดออกได้ ดังมดไม่อาจยกภูเขาได้ฉะนั้น พญามารบันดาลโทสะจึงเหาะขึ้นไปบน
       อากาศแล้วกล่าวว่า  แม้ข้าพเจ้าจะเอาร่างสุนัขนี้ออกจากคอไม่ได้แต่เทพเจ้าองค์อื่นๆ ซึ่งทรงอิทธิฤทธิ์ยิ่งกว่าข้าพเจ้า ก็จะช่วยให้ข้าพเจ้าได้ พระเถระเจ้าจึงกล่าวไปว่า  จงไปถือเอาพระอินทร์  พระพรหม และผู้มีฤทธิ์ใดๆ เป็นสรณะเถิด  แต่ร่างที่รัดคอท่านอยู่ นั้น  จะหลุดจากคอท่านไปก็หาไม่  
      พญามารได้ไปหาเทพเจ้าหลายองค์มี พระอินทร์เป็นต้น   แต่ก็หาสมประสงค์ไม่ สุดท้ายพญามาร ได้ไปหาท้าวมหาพรหมอ้อนวอน ท่านแต่พระพรหมก็กล่าวว่า  ลูกเอ๋ย อย่ามาหาเราเลยใครเล่าจะเอาพันธะนี้ออกเสียได้  ก็ในเมื่อศิษย์ของพระทศพลผู้ทรงญาณ 
       ได้ใช้อิทธิฤทธิ์ผูกไว้ ดุจที่สุดขอบมหาสมุทรนั้นแล  เอาก้านบัวยกภูเขาหิมาลัยให้พ้นจากพื้นดิน  ยังง่ายเสียกว่าที่ใครๆ  จะเอาร่างสุนัขตาย  ที่สะกดไว้ที่คอท่านออกได้  จริงอยู่อำนาจของเรานั้นยิ่งใหญ่  แต่แม้กระนั้นเราก็เทียบไม่ได้เลยกับ ศากยะบุตรของพระตถาคตเจ้า
        แสงของเราดุจ  ดังแสงดาวพระเคราะห์  จะไปเทียบกับแสงพระอาทิตย์กระไรได้ พญามารจึงถามต่อไปว่า   ท่านจะแนะนำ  ให้ทำอย่างไร  ข้าพเจ้าควรไปหาใครพระพรหมตอบว่า จงถือเอาพระอุปคุตเป็นสรณะ เพราะท่านเป็นพุทธบุตรทรงคุณอันประเสริฐ  เป็นสาวกของพระชินสีห์ผู้ทรง พระมหากรุณาธิคุณ  พญามารเมื่อทราบว่าเพียงศิษย์ ของพระพุทธเจ้า ยังมีอิทธิฤทธิ์มากถึงเพียงนี้ จึงดำริว่าฤทธาศักดานุภาพของพระพุทธเจ้า นั้นย่อมเหลือคณานับ  แม้ท้าวมหาพรหม  ยังเคารพนับถือนับประสาอะไรพระอรหันเจ้า ย่อมลงโทษเราได้ตามใจปรารถนาแต่ ก็มีขันติ ไม่ได้ทำอะไรแก่เราให้ยิ่งไปกว่านี้เท่ากับ    
        ว่าท่านให้โอกาสเราดังนั้น เมื่อ เราได้พบแล้วซึ่งพระอรหันต์ที่เปี่ยมไปด้วยกรุณาจิตของท่านปราศจากความเบียดเบียนบีฑา  รัศมีของท่านดุจดังภูเขาทองเราเองถูกโมหะครอบงำจนตาบอด  ทำร้ายได้แม้กระทั่งพระคุณท่านครั้งแล้วครั้งเล่า ด้วยอุบายร้อยแปดพันประการแต่พระคุณเจ้า  จะกล่าววาจาว่าร้ายเราสักคำหนึ่งก็หาไม่
       ลำดับนั้น  พญามารผู้เป็นใหญ่ในกามภพก็สำนึกได้ว่า  มีแต่พระอุปคุตเท่านั้นที่จะแก้ให้ตนได้  จึงเหาะไปหาพระเถระเจ้า   พอถึงก็จึงก้มกราบแทบเท้า  ทั้งสองของท่านพลางกล่าวว่า  ข้าแต่พระคุณเจ้าท่านย่อมทราบดีอยู่แล้วว่า 
       ข้าพเจ้าได้เคยทำร้ายพระผู้มีพระภาคเจ้า มานับเป็นร้อยๆครั้งจำเดิมแต่ วันตรัสรู้ที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ และที่อื่นๆ  แล้วพรรณนาไปว่า เมื่อพระสมณะโคดม ได้บิณฑบาต อยู่ ณ หมู่บ้านพราหมณ์ ข้าพเจ้าไม่ให้พระองค์ได้รับอาหาร  บิณฑบาตเลยต่อมา
      ข้าพเจ้าแปลงเป็นคนขับเกวียนและโคถึกตลอดจนเป็นงูร้ายกลั่นแกล้งพระองค์ต่างๆนานา แต่พระองค์ก็ไม่ได้ทรง  ทำร้ายตอบข้าพเจ้าเลย ส่วนพระคุณเจ้าผู้เป็นพุทธบุตรนั้น   ได้ละความกรุณา ในสันดาลเสียแล้วเพราะพระคุณเจ้าท่าน ได้ทำให้ข้าพเจ้าอับอายยิ่งนัก
      พระเถระเจ้าตอบว่า ดูก่อนพญามารท่านไม่ ได้พิจารณา  ปัญหาให้รอบครอบดอกหรือ ท่านเอาสาวกไปเปรียบกับ  พระอนันต์คุณของพระผู้มีพระภาคเจ้าได้อย่างไร ท่านเอาเขาพระสุเมรุ ไปเปรียบกับเม็ดพันธ์ผักกาดได้อย่างไร  เอาพระอาทิตย์ ไปเทียบกับหิ่งห้อยได้อย่างไร  เอามหาสมุทรเปรียบกับน้ำในอุ้งมือได้อย่างไร
       พระหากรุณาธิคุณของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มี ต่อสรรพสัตว์นั้น  ไม่มีประมาณแล้วพระเถระเจ้าจึงกล่าวต่อไปอีกว่า บัดนี้อาตมาเห็นชัดแล้วถึงเหตุผลที่พระทศพลเจ้าปล่อย  ท่านไว้แม้ท่านจะทำความชั่วมามากก็ตาม
      พญามารกล่าวว่า  โปรดบอกข้าพเจ้าด้วยเถิด ถึงพุทธประสงค์ของ องค์พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงไว้ซึ่งพระมหากรุณาธิคุณ  เปี่ยมไปด้วยพระบารมีแต่แล้ว โมหะ
จริตของข้าพเจ้า ก็ทำร้ายพระองค์ในขณะที่พระองค์ท่าน  กลับทรงไว้ซึ่งพระเมตตากรุณาธิคุณต่อข้าพเจ้าเสมอ
       พระเถระตอบว่าดูก่อน  พญามารท่านจงฟังท่านทำผิดมาก  ล่วงเกินพระผู้มีพระภาคเจ้า มีทางเดียวเท่านั้นที่ท่านจะล้างบาปเสียได้  นั้นคือ การถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ เพียงประการเดียวเท่านั้นที่จะช่วยท่านได้  พระเถระจึงพรรณนาว่าด้วยเหตุที่พระมหามุนี ผู้มีพระเนตรอันยาวไกลไม่ทรงบริภาษด้วยถ้อยคำอันรุนแรงต่อท่าน หากตรัสกับท่าน  ด้วยพระมธุรสวาจา  ก็เพราะทรงประกอบไปด้วย พระมหากรุณาอันยิ่ง มีพระประสงค์จะให้ท่านเกิดศรัทรา ในดวงกมลแล้วน้อมใจ ไปสู่พระพุทธองค์เพียงเล็กน้อยก็จะก่อให้เกิดผล ในทางปรีชาญาณอันผู้ฉลาดจะเข้าถึง 
       พระนิพพานได้บัดนี้พญามารมีผมและขนลุกชูชัน ขึ้นดุจดังไม้เริ่มผลิตใบ ได้ก้มลงถวายอภิวาทแด่ ท่านพระอุปคุตเถระเจ้า พลางพรรณนาว่าจริงๆแล้ว  ข้าพเจ้าได้ทำการไม่ดีหลายๆ อย่าง  ต่อ  พระพุทธองค์ แม้ก่อนจะทรงตรัสรู้  ข้าพเจ้าก็ได้มาล่อล่วงพระองค์  ทรงติดอย่างในความสำเร็จทางโลก   แต่พระมหามุนีผู้ประเสร็จสุด  ก็ข้ามพ้นจากบ่วงของข้าพเจ้าไปได้  และไม่เอาโทษข้าพเจ้าดุจบิดากรุณาต่อบุตร ฉะนั้น เมื่อพญามารมีจิตศรัทธาใน พระผู้มีพระภาคเจ้าได้รำลึกถึงพระพุทธคุณ แล้วจึงก้มลงกราบที่พระบาททั้งสองของ พระอุปคุตมหาเถระเจ้า พลางกล่าวว่า
      วันนี้พระคุณเจ้า ได้อนุเคราะห์ข้าพเจ้ายิ่งนัก  เพราะคุณเจ้าจึงได้เข้าถึง พระคุณานุคุณของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอพระคุณเจ้า โปรดเมตตาอดบ่วงที่รัดคอข้าพเจ้าออก ด้วยเถิดเพราะนี้เกิดจากที่พระคุณเจ้าต้อง  การลงโทษข้าพเจ้า  ท่านพระอุปคุตตอบว่า อาตมาจะถอดออกให้ หากแต่มีข้อแม้  พญามาร ถามว่าข้อแม้เป็นไฉน พระเถระเจ้าบอกว่า  ประการแรก  จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไปท่านต้องไม่เบียดเบียนบีฑาพระภิกษุ และผู้บำเพ็ญบุญในพระพุทธ  ศาสนา
       พญามารรับว่า  ข้าพเจ้าตกลงตามนั้นแล้วยังมีคำสั่งข้ออื่นใดอีกไหม พระคุณท่าน พระเถระเจ้าบอกว่านั้นเป็นคำสั่งไม่ให้ทำร้าย พระพุทธศาสนาต่อแต่นี้ไปอาตมาจะขอให้ท่านช่วยสักเรื่องหนึ่ง พญามารกล่าว ด้วยความเคารพว่า  ขอพระผู้เป็นเจ้าจงบอกมาเถิด  พระอุปคุต จึงกล่าวว่าท่านก็รู้อยู่ว่านับแต่อาตมาอุปสมบทภายหลังจาก 

        พระปรินิพพานของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า อาตมาได้แลเห็นพระธรรมแล้วแต่ อาตมาไม่เคยเห็นพระรูปกายแห่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเลย ก็เมื่อท่านว่าอาตมาอนุเคราะห์แก่ท่าน ขอท่านจงตอบแทนอาตมาด้วย การเนรมิตพระรูปกายของพระสุคตเจ้าเถิด  เพื่อเป็นการทัศนานุตริยะแก่อาตมาเถิด
       พญามาร ตอบว่าได้สิพระคุณเจ้า แต่พระคุณเจ้าโปรดฟังข้อแม้ของข้าพเจ้าให้ดีๆ  เมื่อพระคุณเจ้ามองมาที่ข้าพเจ้าที่ได้เนรมิตกายเป็นพระพุทธเจ้าอยู่นั้น ขอจงอย่าได้ถวายอภิวาทมาทางข้าพเจ้า แม้จะนึกถึงพระพุทธคุณของพระพุทธเจ้าอยู่ หากพระคุณเจ้าแสดงความเคารพแม้เพียงเล็กน้อยมาทางข้าพเจ้าข้าพเจ้าไม่มีฤทธิ์พอที่จะทนต่อ อำนาจจากการกราบไหว้ของพระคุณเจ้า ซึ้งหมดอาสวะกิเลสแล้ว
       ได้ข้าพเจ้านั้นดุจหน่ออ่อนของต้นไม้ จะไปทนน้ำหนักแห่ง คชสารอย่างไรพระเถระเจ้าตอบว่า  ตกลงตามนั้นเมื่อตกลงกันเช่นนี้แล้ว พระอุปคุตก็รอดูอยู่ เพื่อจะได้ทอดทัศนาพระรูปกายแห่งพระสัพพัญญูเจ้า ส่วนพญามารนั้นเมื่อเข้าไปถึงในป่าแล้ว  ก็เนรมิตกายเป็นพระพุทธองค์พร้อมด้วย พระอัครสาวกเดินออกาจากป่าดุจดังครั้งพุทธกาล
       เมื่อพญามารได้เนรมิตพระรูปกาย ของพระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมด้วยรัศมีอันโชคช่วง แล้วก็ได้เนรมิตรูป พระสารีบุตรไว้ในเบื้องขวา พระโมคคัลลาน์ ไว้เบื้องซ้าย และพระอานนท์ไว้เบื้องหลัง มือของพระอานนท์ถือบาตรของ  พระพุทธเจ้านอกจากนี้แล้ว พญามารยังได้เนรมิต รูปของพระมหากัสสปะ พระอนุรุทและพระสุภูติ  พร้อมด้วยรูปพระภิกษุสงฆ์
       อีกจำนวน  หมื่นสามพันห้าร้อยองค์ตามเสด็จพระพุทธเจ้า  เมื่อพญามารเข้าพระอุปคุต  พระอุปคุตบังเกิดปิติปราโมทย์  คิดในใจว่าพระสิริของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็น  เช่นนี้เองด้วยความยินดีเป็นอย่างสูงพระคุณ   จึงลุกขึ้นจากอาสนะแล้วอุทานว่า โอ้ อนิจจา ความไม่เที่ยง ได้ตัดพระคุณสมบัติเช่นนี้ ให้สลายไปสิ้น แม้พระวรกายอันวิเศษ ของพระมหามุนียังถูกกฎของอนิจลักษณะ ทำให้ปลาสนาการไป จนไม่มีอะไรเหลือไว้ให้ได้เห็นอีกเลย  โดยที่จิตคิดมุ่งไปในทาง 
      พุทธานุสติ พระอุปคุตเลยนึกว่าท่านแลเห็น พระผู้มีพระภาคเจ้าจริงๆ พระเถระเจ้าเข้าไปใกล้แล้วจึงกระทำอัญชลี ด้วยการกระพุ่มมือให้เป็นดุจดอกบัวตูม  แล้วออกอุทานว่า พระวรกายของพระผู้มีพระภาคเจ้า วิเศษยิ่งจะกล่าว อะไรยิ่งไปกว่านี้ได้อีก
        พระพักตร์เลิศกว่าดอกปทุม  พระเนตรงามยิ่งกว่าดอกนิลุบล  พระรัศมีงามยิ่งกว่าดอกไม้ป่า ก่อให้เกิดความยินดี ยิ่งกว่าแสงแห่งพระจันทร์วันเพ็ญ พระองค์ทรงลึกซึ่งยิ่งกว่ามหาสมุทร มั่นคงยิ่งกว่าขุนเขา เจิดจ้ายิ่งกว่าพระอาทิตย์ พระพุทธดำเนิน  เป็นสง่ายิ่งกว่าพญาราชสีห์ยาม ทอดทัศนา ก็สงบยิ่งกว่า อุสุภราช พระสรีระทอแสงออกดังทองธรรมชาติ  ดวงจิตของพระอุปคุตเปี่ยมไปดัวยปีติจนไม่อาจกำหนดได้ 
       ดังท่านออกอุทานว่าผลแห่งกรรมดีมีรสอันหวาน  เพราะเกิดเจตนาอันบริสุทธ์รูปกายนี้เกิดมาแต่กรรมหาใช่ โดยอิทธิฤทธิ์หรือด้วย อุบัติเหตุไม่ แต่ด้วยอำนาจแห่ง ทาน ศีล สมาธิ และปัญญา พระพุทธเจ้าย่อมบริสุทธิ์  ทั้งกาย วาจา และใจด้วยพระบารมีทั้งหลายนี้แล เป็นเหตุให้พระกายอันวิสุทธิ์นี้เกิดขึ้น เป็นเหตุให้มนุษย์ได้ทอดทัศนาอย่าง  ปิติปราโมทย์  แม้ปุถุชนยังเกิดความยินดี เป็นที่ยิ่งแล้ว อาตมาเล่าจะเกิด 
      ความรู้สึกถึงเพียงไหน โดยที่ท่านพระอุปคุตมุ่งอยู่ที่   พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จนลืมข้อตกลงกับพญามาร  นึกไปว่ารูปนี้เป็น องค์พระพุทธเจ้าจริงๆ จึงก้มองค์ลงไปแทบเท้า พญามารดุจดังต้นไม้ค่อยๆล้มลงเป็นเหตุ ให้พญามารตกใจมาก ถึงกับกล่าวว่า อย่าพระคุณเจ้าอย่าลืมข้อตก   ลงพระเถระเจ้าถามว่าข้อตกลงอะไรกันพญามารตอบว่า  พระคุณเจ้า สัญญามิใช่หรือว่าจะไม่ก้มลงแสดงความคารวะต่อหน้าข้าพเจ้า ลำดับนั้นพญามารได้ทำให้พระรูปกายของพระพุทธเจ้าปลาสนาการ และก้มลงถวายอภิวาท แสดงความเคารพต่อท่าน พระอุปคุตมหาเถระเจ้าแล้วจากไป
        ครั้นวันที่สี่พญามาร ได้ประกาศด้วยตนเองว่า ผู้ใด ต้องการเสวยสุขในสวรรค์ และต้องความหลุดพ้น ขอให้ไปฟังธรรมจาก ท่านพระอุปคุตนั้นเถิดพร้อมทั้งพรรณนาว่าผู้ใดต้องการพ้นไปจากความจน และเข้าถึงความเจริญ  ตลอดจนถึงโลกุตรธรรมขอให้ตั้งใจฟังธรรมด้วยความ ศัรทรา  อันพระอุปคุตเถระเจ้าแสดงเถิด
       ข่าวได้แพร่ไปทั่วนครมถุราว่า ท่านพระอุปคุตได้ปราบพญามารจนหันเข้ามาสู่พระพุทธศาสนาแล้ว ทุกคนพากันไปหาท่านพระอุปคุตครั้นพราหมณ์เป็นแสนๆ คนประชุมกัน พระเถระเจ้านั้นดุจดังพญาราชสีห์ หามีความสะทกสะท้านไม่ ขึ้นนั่งบนสีหบัลลังก์  เมื่อพระอุปคุตเถระเจ้า 
       แสดงอนุปุพพิกถาแล้ว ก็ได้แสดงพระอริยสัจต่อไปบรรดาหมู่เทวดา และมนุษย์ทั้งหลายจำนวนหลายแสนที่ได้  ฟังพระธรรมเทศนา ต่างพากันหยั่งรากลงในนาบุญอันจะนำไปสู่วิโมกข์ธรรม ความหลุดพ้น บ้างก็ได้อนาคามีผลบ้างก็ได้สกิทาคามีผล บ้างก็ได้บรรลุพระโสดาบัน ท้ายที่สุดชนหมื่นแปดพันคน ได้รับอุปสมบทเป็นพระภิกษุในบวรพระพุทธศาสนา หลังจากปฏิบัติธรรมได้ไม่นานก็ได้บรรลุอรหัตผล
      ที่ภูเขาอุรุมุณฑะนั้นมีถ้ายาว ๑๘ ศอกกว้าง ๑๒ ศอก  พระอุปคุตกล่าวกันว่า พระภิกษุที่มาปฏิบัติธรรม จนได้สำเร็จมรรคผล ณที่นั้นว่าขอให้ท่านที่ได้ฟังธรรมจากข้าพเจ้า และเอาชนะกิเลสอาสวะได้แล้ว
เข้าถึง พระอรหัตผล  จงโปรดโยนไม้ยาว ๔ นิ้วลงไปในถ้ำเถิด ในวันนั้น  พระอรหัตผลทั้งแปดหมื่นสี่พันรูป ได้โยนไม้ยาว ๔ นิ้วลงไปในถ้ำ ชื่อเสียงเกียรติคุณของท่านพระอุปคุตได้แพร่ขยายไปจนจรดฝั่งมหาสมุทร                                                           
      สมดังคำพุทธพยากรณ์  ที่พระพุทธเจ้า ทรงตรัสไว้ว่า ในนคร มถุรานี้ จักมีภิกษุชื่อว่า อุปคุตได้เป็นเอตทัคคะในทาง  แสดงธรรม และช่วยกอบกู้พระศาสนาด้วยประการฉะนี้เรื่องราวของพระอุปคุตเมหาเถระเจ้า ปรากฏตามนัย
       ปฐมสมโพธิกถาปริจเฉท ที่ ๒๘ มารพันธะปริวรรต เพียงเท่านี้  แต่ในอโศกาวะทาน เป็นคัมภีร์ภาษาสันกฤตที่เก่าแก่อายุราว สองพันปี ได้ปรากฏเรื่องราวของท่านพระอุปคุตเถระ ที่อาจมีความพิสดารและมีข้อแตกต่างจาก พระปฐมสมโพธิกถาบ้างดังนี้  และข้อความในพระสูตรมีว่า  ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วดังนี้ว่าเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับ    กรุงสาวัตถี  
      ดังนั้นขอให้เรารำลึกถึง  พระพุทธพจน์   ที่ช่วยให้ดวงจิตของเทวดา  และมนุษย์ทั้งหลายสว่างขึ้น    ท่ามกลาง  แห่งบรรดา พระเถราจารย์เจ้าของเราทั้งหลาย พระพุทธดำรัส ที่หลั่งออกมาจากพระโอษฐ์นั้น ดุจดังมหาเมฆกลายสภาพโปรยปรายเป็นสายฝน  เพื่อชำระล้างความโสโครก อันก่อตัว ขึ้นจากโคลนตม ซึ่งได้แก่ราคะโทสะโมหะ  อวิชชา ให้หมดสิ้นไป คำสอนของพวกเดียรถีย์
       ก็ปลาสนาการไปด้วยแสงแห่ง ปัญญาอันเกิดจากงานนิพนธ์ของพระอาจารย์เจ้าเหล่านั้น ซึ่งรจนาไว้ทั้งในทาง   ไวยากรณ์คัมภีร์และตำราอื่นๆ โดยที่ท่านเหล่านั้นได้ดื่มน้ำอันบริสุทธิ์ คือพระสัทจะธรรมอันวิเศษ  บรรลุซึ่งโลกุตรธรรมอันบริสุทธิ์หากท่านผู้ใด มีความต้องการที่จะสักการบูชาพระอุปคุตมหาเถระเจ้า  ทั้งพระคาถาและรูปเคารพ หรือพระเครื่องพระบูชารูปหล่อๆ
       พระคาถาบูชาพระอุปคุต นะโม 3 จบ                                  
  อุปคุตโต จะ มหาเถโร   สัมพุทเธนะ วิยากะโต
มารัญจะ มาระพลัณจะ    โส อิทานิ  มหาเถโร
นมัสสิตวา ปะติฏฐิโต      อหัง วันทามิ  อิทาเนวะ
อุปคุตตัง จะ มหาเถรัง      ยังยัง อุปัททะวัง ชาตัง
วิเธเสติ   อะเสสะโต         มหาลาภัง  ภะ วันตุ  เม
       พระคาถาบูชาพระอุปคุตว่า นะโม ๓ จบ
ภาวนา ๓จบ ๕ จบ ๕ จบ ๗ จบ ๙ จบหรือว่างเมื่อไรก็ภาวนายิ่งมากยิ่งดี
                
                   พระคาถาพระอุปคุตผูกมาร       
   มหา อุปคุตโต  มหาอุปคุตตัง   กายะพันทะนังอยิสะพุทธัง  ทะเถโร ธัมมัง  ทะเถโร  สังฆัง  ะเถโร ปะอัยยะสุตัง อุปัจสะอิ  อิมังกายะ พันทะนัง  อะธิถามิ                                                                   
      คาถาพระมหาอุปคุตผูกมาร มีอานุภาพศักดิ์สิทธิ์มาก  เสกด้ายสายสิญจน์ ทำเป็นมงคลสวมคอหากปลุกเสก ๑๐๘   จบ สามารถป้องกันภูตผีปีศาจ ทั้งปวงและป้องกันอันตรายต่างๆนาๆ ถ้าปลุกเสก ๓-๗ คาบ ผูกคอ หรือ คล้องคอคนถูกผีเจ้าเข้าสิง อยู่จะเจ็บปวดร้องครวญคราง โหยหวน  อย่างหน้าเวทนา  ถ้าจะให้ผีที่สิงอยู่ออกไปให้ถอด หรือแก้ด้ายผูกคอ ออก แล้วเอา ด้ายนี้ตี ปัดไปตามตัว คนที่ถูกผีสิง  อยู่นั้นผีจะอยู่ไม่ได้ จะเผ่นออก และไม่กล้ากลับมารบกวนคนในบ้านอีกเลย
     คาถาพระมหาอุปคุต ผูกมารนี้ ยังมีอุปเท่ห์อีกมากมาย  ใช้ปลุกเสกในทางพุทธเวช  และพิชิตโรคาพาธได้วิเศษนัก  สวดเป็น ประจำทุกวันยังสามารถส่ง เสริมในด้านโชคลาภ  วาสนาดียิ่งนักนอกจาก

                                                                             คำนำ
       การเขียนประวัติพระอุปคุตมหาเถระเจ้าผู้มากด้วยบารมี  ข้าพเจ้าวิชุประภาเขียนขึ้นด้วยบูชาคุณพระมหาเถระเจ้า  ผู้รับหน้าที่ตั้งแต่ไม่เกิด เพื่อมาปราบพญามาร เพราะเป็นหน้าที่ของท่าน ที่มีกับพญามาร แต่อดีตชาติ  จนชาติสุดท้ายของท่าน เช่นมนุษย์เราทุกผู้ทุกนาม ทุกตัวตนไม่ว่ายากดีมีจนหรือร่ำรวย ชายหรือหญิง ล้วนมีหน้าที่ทุกคนเช่นบิดามารดา  ท่านเลี่ยงเรามา เราก็ต้องมีหน้าที่เลี่ยงตอบแทนท่านเช่นเดียวกันพระอุปคุตมหาเถระเจ้า ทำไมจะต้องเป็นผู้มาปราบพญามาร ให้ละฐิถิ ในครั้งนั้น พระอรหันก็มีมาก หนังสือเล่มนี้ ได้ลองหาเหตุผลมาพิจารนาดูกัน แล้วท่านผู้อ่านละเห็นว่าเป็นอย่างไรหนังสือเล่มนี้อาจจะผิดไปก็ต้องขออภัยมานะที่นี้  ผมไม่ใช่นักเขียนมืออาชีพ
      สุดท้ายนี้ขอท่านผู้ปรารถนาถึง พุทธัง ธัมมัง สังฆัง เป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง จงมีสุขทุกท่าน
                                                                                                                                 สวัสดี
                                                                                                                                วิชุประภา